TRUE VIRTUAL WORLD
Products

All-in-one secure video meeting, live streaming and collaboration tool for small business and large corporations

Learn more

Virtual workspace for individuals and teams to create and share easily from anywhere

Learn more

Integrated platform offering online classes and instruction for individuals, professionals and groups.

Learn more
Solutions
All Solutions

Individual

Be productive from home, office, and anywhere in between

Enterprise

Effective remote work solutions for small businesses to large corporations

Education

Powerful hybrid learning platform for education professionals and students

Government

Secure and transparent all-in-one workspace for government offices

Pricing
Resources
FAQs

Ebooks & Checklists

Articles
Book a Demo
Sign in
Sign Up For Free
Products
VROOM

All-in-one secure video meeting, live streaming and collaboration tool for small business and large corporations

VWORK

Virtual workspace for individuals and teams to create and share easily from anywhere

VLEARN

Integrated platform offering online classes and instruction for individuals, professionals and groups.

Solutions
All Solutions

Individual

Be productive from home, office, and anywhere in between

Enterprise

Effective remote work solutions for small businesses to large corporations

Education

Powerful hybrid learning platform for education professionals and students

Government

Secure and transparent all-in-one workspace for government offices

Pricing
Resources
FAQs

Ebooks & Checklists

Articles
Book a Demo
Sign in
VROOM

VWORK

VLEARN

Sign Up For Free
VROOM

VWORK

VLEARN

Articles

Featured

9-tips-for-go-live-thumbnails
March 29, 2023
·
Knowledge

9 เคล็ด(ไม่)ลับ ไลฟ์สดอย่างไรให้ปัง ฉบับมือใหม่

ในยุคที่มีการแข่งขันทางการตลาดอย่างเข้มข้น แน่นอนว่าแต่ละแบรนด์พยายามหากลยุทธ์ใหม่ๆ เพื่อดึงดูดลูกค้า และเพิ่มกำไรให้องค์กรของตัวเองอยู่เสมอ ซึ่งหนึ่งในกลยุทธ์ยอดฮิตที่หลายๆ แบรนด์หันมาใช้กันก็คือการขยายช่องทางการขายผ่านไลฟ์สดนั่นเอง เพราะการไลฟ์สดช่วยให้แบรนด์ลงทุนน้อยลง แต่เข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้มากขึ้น นอกจากนี้ยังสะดวกต่อการโปรโมต การขยายไลน์สินค้า และนำเสนอสินค้าใหม่ให้กับลูกค้าอีกด้วยแต่การไลฟ์สดให้ปังไม่ใช่แค่การกดปุ่ม "ถ่ายทอดสด" เท่านั้น เพราะฉะนั้นบทความนี้จึงมีเคล็ดลับดีๆ ที่จะช่วยให้คุณเตรียมพร้อมก่อนเข้าสู่สนามแห่งการไลฟ์สด และคว้าชัยชนะมาไว้ในมือได้อย่างมั่นใจ ถ้าพร้อมแล้ว ไปดูเคล็ด(ไม่)ลับ ที่จะช่วยให้คุณดึงดูดผู้ชมได้อยู่หมัด พร้อมสร้างยอดขายให้เติบโตผ่านการไลฟ์สดกันเลย Table of Contents เคล็ดลับที่ 1 : ทีมเวิร์กช่วยให้ไลฟ์สดประสบความสำเร็จทุกคนมีส่วนช่วยให้งานออกมาสำเร็จ เพราะฉะนั้นคุณจึงควรให้ความสำคัญกับทีมเวิร์กและการประสานงานที่ราบรื่นตลอดการทำงาน โดยเริ่มตั้งแต่การวางแผน, การกำหนดหน้าที่และผู้รับผิดชอบส่วนต่างๆ, การสื่อสารเพื่ออัปเดตความคืบหน้าอย่างสม่ำเสมอ โดยการจัดประชุมทีมเพื่อเน้นย้ำแผนและสิ่งสำคัญอื่นๆ, การรายงานปัญหาที่อาจเกิดขึ้นและวิธีขอความช่วยเหลือหากต้องการ รวมไปถึงการตรวจสอบให้แน่ใจว่าผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการไลฟ์สดทุกคนไม่ได้ลาหยุดหรือลาพักร้อนในวันไลฟ์สดซึ่งการจะทำงานและประสานงานอย่างราบรื่นได้คุณควรมีเครื่องมือในการประสานงาน เพื่อช่วยให้การติดต่อสื่อสารไร้รอยต่อ ไม่ว่าทีมจะทำงานจากที่บ้านหรือที่ทำงานก็สามารถพูดคุยอัปเดตสถานการณ์ได้แบบเรียลไทม์ โดย True VWORK เป็นหนึ่งในเครื่องมือที่ตอบโจทย์ความต้องการนี้ได้เป็นอย่างดี เพราะมีทั้งฟีเจอร์ Communication Hub ที่จะช่วยให้คุณและทีมคุยหรือวิดีโอคอลหากันได้ทุกที่, Task Management ที่สามารถมอบหมายและติดตามสถานะการทำงานของทีมได้ และ Staff Directory ที่ช่วยบริการจัดการทีมจากระยะไกล ซึ่งรวมไปถึงบริหารวันลาหยุดด้วยเคล็ดลับที่ 2 : วางแผนคอนเทนต์ดี ไลฟ์สดก็มีชัยไปกว่าครึ่งแน่นอนว่าการเริ่มไลฟ์สดในแต่ละครั้ง ผู้ดำเนินการไลฟ์ต้องมีเป้าหมายในการไลฟ์อยู่แล้ว แต่จะสื่อสารไปถึงผู้ชมได้หรือไม่ขึ้นอยู่กับการวางแผนคอนเทนต์ว่าครอบคลุม ชัดเจน และตอบโจทย์เป้าหมายที่ตั้งไว้หรือยัง? เพราะฉะนั้นเราจึงมีหลักการง่ายๆ 3 ข้อที่คุณสามารถนำไปปรับใช้ในการวางแผน สร้างคอนเทนต์ปังๆ ในแบบฉบับของคุณ ดังนี้Who: รู้จักกลุ่มเป้าหมายของตัวเอง คุณต้องการสื่อสารให้ใครฟัง? ผู้ชมของคุณต้องการอะไร? ผู้ชมของคุณอยู่ที่ไหน? เป็นคนท้องถิ่นหรือชาวต่างชาติ? หากเป็นชาวต่างชาติ คุณต้องคำนึงเรื่องการใช้ภาษาที่สอง รวมไปถึงวันที่และเวลาในการไลฟ์สดเพราะผู้ชมอาจไม่ได้อยู่ Time zone เดียวกับคุณก็ได้What: เมื่อรู้แล้วว่าต้องการสื่อสารกับ “ใคร” ต่อมาก็ต้องวางแผนว่าคุณต้องการนำเสนออะไร? จะเล่าเรื่องด้วยน้ำเสียงแบบไหน? ซึ่งการนำเสนอที่ดีจะต้อง สั้น กระชับ สร้าง Impact ได้ มีความเป็นธรรมชาติ และมีเอกลักษณ์ของตัวเอง เพื่อให้การไลฟ์สดของคุณไม่เหมือนใคร นอกจากนี้คุณควรคำนึงถึงสิ่งที่ผู้ชมจะได้รับจากคอนเทนต์ที่คุณส่งไปอีกด้วยWhere: ต่อมาคือการเลือกแพลตฟอร์มที่ใช่ ซึ่งอาจจะขึ้นอยู่กับผู้ชมเป็นหลัก โดยผู้ชมที่มีความสนใจหรืออายุที่แตกต่างกัน มักจะมีพฤติกรรมการใช้โซเชียลมีเดียแตกต่างกันด้วย เพราะฉะนั้นคุณจึงควรเลือกแพลตฟอร์มที่สามารถดึงดูดผู้ชมที่คุณต้องการสื่อสารมากที่สุด ซึ่งเราจะบอกความแตกต่างและวิธีการเลือกแพลตฟอร์มในการไลฟ์สดในส่วนถัดไป เคล็ดลับที่ 3 : เลือกแพลตฟอร์มสำหรับไลฟ์สดให้ปังหลังจากที่คุณรู้แล้วว่าจะทำคอนเทนต์อะไร และจะสื่อสารให้ใครฟัง ต่อมาคือการเลือกช่องทางการสื่อสารที่เหมาะสม ซึ่งปัจจุบันมีแพลตฟอร์มมากมายที่ให้บริการสตรีมวิดีโอ และถ้าให้เราอธิบายทุกแพลตฟอร์มก็อาจจะทำให้บทความนี้ยาวเกินไป เพราะฉะนั้นเราจึงคัดเลือก 4 แพลตฟอร์มยอดนิยมมาให้คุณเลือกตัดสินใจใช้ดังนี้True VROOM Live Streamingบริการไลฟ์สดคุณภาพสูงจากทาง True ที่เชื่อมต่อคนทุกกลุ่มเข้าด้วยกัน พร้อมฟังก์ชันที่ครบถ้วนในการสนับสนุนการนำเสนอการไลฟ์อย่างมีประสิทธิภาพ เหมาะเป็นอย่างยิ่งสำหรับการนำเสนองาน ประชุมกลุ่มทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ จนถึงโฆษณาสินค้า True VROOM ก็เป็นหนึ่งในเครื่องมือที่ตอบโจทย์เป็นอย่างดี...
Read More

All articles

okr-objective-key-results-thumbnail
August 4, 2022
·
Knowledge
August 4, 2022
2 mins read

ขับเคลื่อนธุรกิจให้ถึงเป้าหมายด้วยการใช้ OKR

การตั้งเป้าหมายและวัดผลเป็นกระบวนการสำคัญที่ทุกๆ ธุรกิจควรคำนึงถึง แต่วิธีการตั้งเป้าหมายแบบไหนกันที่มีประสิทธิภาพและยืดหยุ่นเหมาะกับยุคสมัยที่การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นได้ในทุกวินาที คำตอบนั้นคือ OKR (Objective and Key Results) หนึ่งในหลักการที่ได้รับความนิยมจากธุรกิจชั้นนำทั่วโลกนั่นเอง OKR สุดยอดกรอบแนวคิดที่ผู้บริหารควรเรียนรู้ รู้จักกับ OKR Objective and Key Result หรือย่อสั้นๆ ว่า OKR เป็นหลักการของตั้งเป้าหมายในการทำงาน (Objective) และตัวชี้วัดในการประเมินความสำเร็จของผลลัพธ์ที่ได้ (Key Result) เพื่อให้ทุกคนในองค์กรมีเป้าหมายในการทำงานร่วมกัน ที่นอกจากจะสัมพันธ์กับการพัฒนาส่วนบุคคลแล้ว ยังสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาในระดับต่างๆ ขององค์กรอีกด้วย OKR ไม่ได้เป็นเรื่องใหม่อย่างที่หลายๆ คนเข้าใจ แนวคิดดังกล่าวถูกใช้เป็นเครื่องมือสำหรับการขับเคลื่อนธุรกิจให้ประสบความสำเร็จมาแล้วมากมาย แต่การที่ทำให้แนวคิดการตั้งเป้าแบบ OKR เริ่มมีชื่อเสียงจริงๆ คือ การปรับใช้หลักของ OKR เข้ากับการบริหารบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Intel Corperation โดยประธานคณะกรรมการบริหารอย่างคุณ Andrew Grove ในช่วงคริสต์ทศวรรษที่ 1970 OKR ยังมีการใช้งานอย่างต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งอาจมีการปรับเปลี่ยนวิธีการยิบย่อยต่างๆ ในการตั้งเป้าหมายเพื่อเป็นกุญแจแห่งความสำเร็จ กระนั้นสิ่งที่ยังคงอยู่เสมอมา คือ “การตั้งเป้าให้เหนือกว่าความสำเร็จเดิม” ที่กระตุ้นให้บริษัทเติบโตมากขึ้น Table of Contents ประโยชน์ของการใช้ OKR 1.สร้างแรงผลักดันในการพัฒนาตัวเองแก่พนักงาน กรอบแนวคิดแบบ OKR ให้ความสำคัญกับการสร้างแรงผลักดันในการพัฒนาตัวเองของพนักงานที่ต้องรับมือกับการเปลี่ยนแปลงและความท้าทายใหม่ๆ อยู่เสมอ OKR จึงมุ่งเน้นไปที่การทบทวนกระบวนการทำงานเพื่อให้พนักงานสามารถพัฒนาศักยภาพการทำงานได้อย่างรวดเร็ว 2.มองเห็นแนวทางในการแก้ปัญหาได้ชัดเจนขึ้น ในกรณีที่เกิดปัญหาในกระบวนการทำงานขึ้นนั้น ผู้บริหารสามารถทราบแนวทางในการแก้ปัญหาได้จากการวิเคราะห์คะแนนประเมินผล OKR ในเชิงตัวเลขว่างานส่วนใดที่ควรปรับปรุงกระบวนการทำงานและงานส่วนไหนที่ทำได้ดีอยู่แล้ว 3.องค์กรและบุคลากรพัฒนาไปอย่างสอดคล้องกัน การสร้าง OKR ที่ดีจะช่วยให้ทุกระดับขององค์กรมีการพัฒนาไปในทิศทางเดียวกัน ตั้งแต่เป้าหมายระดับบุคคลที่มีความเฉพาะเจาะจงกับการพัฒนาศักยภาพของพนักงาน เป้าหมายระดับทีมอย่างการทำโปรเจกต์ จนไปถึงเป้าหมายระดับองค์กรซึ่งเป็นกุญแจสำคัญของการขับเคลื่อนธุรกิจไปสู่ความสำเร็จในท้ายที่สุด ตัวอย่างการใช้งาน OKR OKR สำหรับธุรกิจ Objective: ธุรกิจเติบโตขึ้น 30% Key Result: 1. ยอดขายมากกว่า 5 ล้านบาท 2. ออกผลิตภัณฑ์ใหม่ 5 รายการภายในไตรมาสที่ 2 3. อัตราการขอคืนสินค้าต่ำกว่า 3% OKR สำหรับฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์ Objective: เพิ่มความพึงพอใจของลูกค้าเพื่อลดอัตราการขอคืนสินค้า (สอดคล้องกับ อัตราการขอคืนสินค้าต่ำกว่า 3%) Key Result: 1. เก็บ Feedback จากลูกค้าอย่างน้อย 10 รายต่อเดือน 2. เพิ่มอัตราการกลับมาใช้บริการซ้ำของลูกค้า 50% 3. ได้คะแนน NPS (Net Promoter score) เพิ่มขึ้นจาก 70 เป็น 90 คะแนน OKR สำหรับพนักงานขาย Objective: เปลี่ยนไปใช้กลยุทธ์ลูกค้าสัมพันธ์เชิงรุกแทนเชิงรับ (สอดคล้องกับ เพิ่มอัตราการกลับมาใช้บริการซ้ำของลูกค้า 50%) Key Result: 1. ลดอัตราการเลิกใช้บริการของลูกค้าประจำ 50% 2. ลดจำนวนคำร้องเรียนที่ไม่พึงพอใจจากลูกค้าลง 50% จะสังเกตได้ว่า OKR ทั้งสามประเภทจะสอดคล้องกันตามหลักการการตั้งเป้าหมาย โดยจะมี OKR สำหรับธุรกิจในภาพใหญ่ เพื่อกำหนด Objective ของบริษัท และใช้ OKR สำหรับทีม และ OKR คอยซัพพอร์ต ทั้งนี้ตัวอย่างด้านบนเป็นเพียงการกำหนด OKR คร่าวๆ เท่านั้น การกำหนด OKR ในบริษัทจริงๆ จะมีรายละเอียดมากกว่านี้พอสมควรทีเดียว วิธีการกำหนด OKR ให้เหมาะกับธุรกิจของคุณ กำหนด OKR เป็นลำดับขั้น การกำหนด OKR ที่ดีควรมีการตั้งเป็นลำดับขั้น โดยมีการกำหนด OKR ใหญ่สุดก่อน โดยอ้างอิงจากภาพรวมบริษัทเป็นหลัก แล้วจึงแยกย่อยลงมาในระดับทีม บุคคล และเพิ่มรายละเอียด เพื่อทำให้ OKR ดังกล่าวเป็นการกำหนดเป้าหมายที่มีประสิทธิภาพ เช่น สำหรับบริษัทประเภท Startup ควรกำหนด OKR ของบริษัทเป็นอันดับแรก และทำการแยกย่อยมาในระดับทีม ว่าแต่ละทีมมี Objective อะไรที่สามารถตอบสนอง Key Result ของบริษัทได้บ้าง สุดท้ายคือการกำหนด OKR ส่วนบุคคลที่สอดคล้องกับทีมที่ตนเองสังกัด แน่นอนว่าการกำหนด Objective สามารถทำได้หลายข้อ แต่ฝ่ายบริหารจำเป็นต้องประเมินทีม รวมถึงตนเองว่ามี Human Resource และ Man Hours เพียงพอและสามารถทำตาม OKR ได้หรือไม่ มีอันไหนยาก หรือง่ายเกินไป และ OKR ทุกอันจำเป็นต้องวัดผลได้จริง ไม่ใช่แค่เป้าหมายบนเมฆให้เราคว้าจับเท่านั้นเท่านั้น กำหนด OKR โดยการฟังเสียงของคนทำงาน การตั้งเป้าหมายที่มีรากฐานมาจากข้อมูลในอดีตโดยการฟังเสียงของคนทำงานจริงช่วยให้บริษัทสามารถวิเคราะห์และประมาณการตั้ง OKR ที่เหมาะสม โดยไม่ง่ายเกินไปจนสำเร็จได้ง่ายๆ หรือท้าทายเกินไปจนหาหนทางแห่งความสำเร็จไม่เจอ และหากให้พนักงานมีส่วนร่วมในการกำหนด OKR ของตัวเองจะส่งผลดีต่อมากยิ่งขึ้น นอกจากที่ OKR จะทำให้ทุกคนเห็นภาพขององค์กรและความสำเร็จร่วมกันแล้ว ยังเสริมสร้างความเข้าใจต่องานที่ได้รับมอบหมายเพื่อบรรลุ OKR อย่างสอดคล้องและเป็นไปในแนวทางเดียวกันจนกลายเป็นกุญแจแห่งความสำเร็จของธุรกิจคุณอีกด้วย สรุป...
Read More
August 4, 2022
·
August 4, 2022
2 mins read

ขับเคลื่อนธุรกิจให้ถึงเป้าหมายด้วยการใช้ OKR

การตั้งเป้าหมายและวัดผลเป็นกระบวนการสำคัญที่ทุกๆ ธุรกิจควรคำนึงถึง แต่วิธีการตั้งเป้าหมายแบบไหนกันที่มีประสิทธิภาพและยืดหยุ่นเหมาะกับยุคสมัยที่การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นได้ในทุกวินาที คำตอบนั้นคือ OKR (Objective and Key Results) หนึ่งในหลักการที่ได้รับความนิยมจากธุรกิจชั้นนำทั่วโลกนั่นเอง OKR สุดยอดกรอบแนวคิดที่ผู้บริหารควรเรียนรู้ รู้จักกับ OKR Objective and Key Result หรือย่อสั้นๆ ว่า OKR เป็นหลักการของตั้งเป้าหมายในการทำงาน (Objective) และตัวชี้วัดในการประเมินความสำเร็จของผลลัพธ์ที่ได้ (Key Result) เพื่อให้ทุกคนในองค์กรมีเป้าหมายในการทำงานร่วมกัน ที่นอกจากจะสัมพันธ์กับการพัฒนาส่วนบุคคลแล้ว ยังสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาในระดับต่างๆ ขององค์กรอีกด้วย OKR ไม่ได้เป็นเรื่องใหม่อย่างที่หลายๆ คนเข้าใจ แนวคิดดังกล่าวถูกใช้เป็นเครื่องมือสำหรับการขับเคลื่อนธุรกิจให้ประสบความสำเร็จมาแล้วมากมาย แต่การที่ทำให้แนวคิดการตั้งเป้าแบบ OKR เริ่มมีชื่อเสียงจริงๆ คือ การปรับใช้หลักของ OKR เข้ากับการบริหารบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Intel Corperation โดยประธานคณะกรรมการบริหารอย่างคุณ Andrew Grove ในช่วงคริสต์ทศวรรษที่ 1970 OKR ยังมีการใช้งานอย่างต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งอาจมีการปรับเปลี่ยนวิธีการยิบย่อยต่างๆ ในการตั้งเป้าหมายเพื่อเป็นกุญแจแห่งความสำเร็จ กระนั้นสิ่งที่ยังคงอยู่เสมอมา คือ “การตั้งเป้าให้เหนือกว่าความสำเร็จเดิม” ที่กระตุ้นให้บริษัทเติบโตมากขึ้น Table of Contents ประโยชน์ของการใช้ OKR 1.สร้างแรงผลักดันในการพัฒนาตัวเองแก่พนักงาน กรอบแนวคิดแบบ OKR ให้ความสำคัญกับการสร้างแรงผลักดันในการพัฒนาตัวเองของพนักงานที่ต้องรับมือกับการเปลี่ยนแปลงและความท้าทายใหม่ๆ อยู่เสมอ OKR จึงมุ่งเน้นไปที่การทบทวนกระบวนการทำงานเพื่อให้พนักงานสามารถพัฒนาศักยภาพการทำงานได้อย่างรวดเร็ว 2.มองเห็นแนวทางในการแก้ปัญหาได้ชัดเจนขึ้น ในกรณีที่เกิดปัญหาในกระบวนการทำงานขึ้นนั้น ผู้บริหารสามารถทราบแนวทางในการแก้ปัญหาได้จากการวิเคราะห์คะแนนประเมินผล OKR ในเชิงตัวเลขว่างานส่วนใดที่ควรปรับปรุงกระบวนการทำงานและงานส่วนไหนที่ทำได้ดีอยู่แล้ว 3.องค์กรและบุคลากรพัฒนาไปอย่างสอดคล้องกัน การสร้าง OKR ที่ดีจะช่วยให้ทุกระดับขององค์กรมีการพัฒนาไปในทิศทางเดียวกัน ตั้งแต่เป้าหมายระดับบุคคลที่มีความเฉพาะเจาะจงกับการพัฒนาศักยภาพของพนักงาน เป้าหมายระดับทีมอย่างการทำโปรเจกต์ จนไปถึงเป้าหมายระดับองค์กรซึ่งเป็นกุญแจสำคัญของการขับเคลื่อนธุรกิจไปสู่ความสำเร็จในท้ายที่สุด ตัวอย่างการใช้งาน OKR OKR สำหรับธุรกิจ Objective: ธุรกิจเติบโตขึ้น 30% Key Result: 1. ยอดขายมากกว่า 5 ล้านบาท 2. ออกผลิตภัณฑ์ใหม่ 5 รายการภายในไตรมาสที่ 2 3. อัตราการขอคืนสินค้าต่ำกว่า 3% OKR สำหรับฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์ Objective: เพิ่มความพึงพอใจของลูกค้าเพื่อลดอัตราการขอคืนสินค้า (สอดคล้องกับ อัตราการขอคืนสินค้าต่ำกว่า 3%) Key Result: 1. เก็บ Feedback จากลูกค้าอย่างน้อย 10 รายต่อเดือน 2. เพิ่มอัตราการกลับมาใช้บริการซ้ำของลูกค้า 50% 3. ได้คะแนน NPS (Net Promoter score) เพิ่มขึ้นจาก 70 เป็น 90 คะแนน OKR สำหรับพนักงานขาย Objective: เปลี่ยนไปใช้กลยุทธ์ลูกค้าสัมพันธ์เชิงรุกแทนเชิงรับ (สอดคล้องกับ เพิ่มอัตราการกลับมาใช้บริการซ้ำของลูกค้า 50%) Key Result: 1. ลดอัตราการเลิกใช้บริการของลูกค้าประจำ 50% 2. ลดจำนวนคำร้องเรียนที่ไม่พึงพอใจจากลูกค้าลง 50% จะสังเกตได้ว่า OKR ทั้งสามประเภทจะสอดคล้องกันตามหลักการการตั้งเป้าหมาย โดยจะมี OKR สำหรับธุรกิจในภาพใหญ่ เพื่อกำหนด Objective ของบริษัท และใช้ OKR สำหรับทีม และ OKR คอยซัพพอร์ต ทั้งนี้ตัวอย่างด้านบนเป็นเพียงการกำหนด OKR คร่าวๆ เท่านั้น การกำหนด OKR ในบริษัทจริงๆ จะมีรายละเอียดมากกว่านี้พอสมควรทีเดียว วิธีการกำหนด OKR ให้เหมาะกับธุรกิจของคุณ กำหนด OKR เป็นลำดับขั้น การกำหนด OKR ที่ดีควรมีการตั้งเป็นลำดับขั้น โดยมีการกำหนด OKR ใหญ่สุดก่อน โดยอ้างอิงจากภาพรวมบริษัทเป็นหลัก แล้วจึงแยกย่อยลงมาในระดับทีม บุคคล และเพิ่มรายละเอียด เพื่อทำให้ OKR ดังกล่าวเป็นการกำหนดเป้าหมายที่มีประสิทธิภาพ เช่น สำหรับบริษัทประเภท Startup ควรกำหนด OKR ของบริษัทเป็นอันดับแรก และทำการแยกย่อยมาในระดับทีม ว่าแต่ละทีมมี Objective อะไรที่สามารถตอบสนอง Key Result ของบริษัทได้บ้าง สุดท้ายคือการกำหนด OKR ส่วนบุคคลที่สอดคล้องกับทีมที่ตนเองสังกัด แน่นอนว่าการกำหนด Objective สามารถทำได้หลายข้อ แต่ฝ่ายบริหารจำเป็นต้องประเมินทีม รวมถึงตนเองว่ามี Human Resource และ Man Hours เพียงพอและสามารถทำตาม OKR ได้หรือไม่ มีอันไหนยาก หรือง่ายเกินไป และ OKR ทุกอันจำเป็นต้องวัดผลได้จริง ไม่ใช่แค่เป้าหมายบนเมฆให้เราคว้าจับเท่านั้นเท่านั้น กำหนด OKR โดยการฟังเสียงของคนทำงาน การตั้งเป้าหมายที่มีรากฐานมาจากข้อมูลในอดีตโดยการฟังเสียงของคนทำงานจริงช่วยให้บริษัทสามารถวิเคราะห์และประมาณการตั้ง OKR ที่เหมาะสม โดยไม่ง่ายเกินไปจนสำเร็จได้ง่ายๆ หรือท้าทายเกินไปจนหาหนทางแห่งความสำเร็จไม่เจอ และหากให้พนักงานมีส่วนร่วมในการกำหนด OKR ของตัวเองจะส่งผลดีต่อมากยิ่งขึ้น นอกจากที่ OKR จะทำให้ทุกคนเห็นภาพขององค์กรและความสำเร็จร่วมกันแล้ว ยังเสริมสร้างความเข้าใจต่องานที่ได้รับมอบหมายเพื่อบรรลุ OKR อย่างสอดคล้องและเป็นไปในแนวทางเดียวกันจนกลายเป็นกุญแจแห่งความสำเร็จของธุรกิจคุณอีกด้วย สรุป...
Read More
August 4, 2022
·
August 4, 2022
< 1 min read

7 เรื่องเข้าใจผิด! เกี่ยวกับแนวคิด Productivity

เมื่อพูดถึงการทำงานในยุคปัจจุบัน การเพิ่ม Productivity ให้กับตนเองกลายเป็นสิ่งจำเป็นที่ขาดไม่ได้ที่จะทำให้องค์กรเติบโตขึ้น แต่ยังมีคนจำนวนไม่น้อยที่เข้าใจผิดเกี่ยวกับแนวคิดดังกล่าว และนี่คือ 7 สิ่งที่มักเข้าใจผิดเกี่ยวกับการสร้าง Productivity1.เงินเดือนเป็นสิ่งที่สะท้อน ProductivityProductivity เป็นเรื่องของการบริหารจัดการต้นทุนต่างๆ ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด และแน่นอนว่าย่อมมีเรื่องเงินเดือนเข้ามาเกี่ยวข้อง ทำให้พนักงานหรือแม้แต่ผู้บริหารองค์กรบางรายมองว่าเงินเดือนเป็นสิ่งที่สะท้อน Productivity ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ถูกเสียทีเดียวเงินเดือนเป็นสิ่งที่มีการคำนวณจากปัจจัยต่างๆ มากมาย ทั้งตำแหน่งหน้าที่ ความคาดหวัง ไปจนถึงความสามารถ มีหลายกรณีที่พนักงานได้รับเงินเดือนน้อยกว่าที่ควรจะเป็นแม้ว่าจะมี Performance ที่ดี การให้เงินเดือนสูงๆ จึงเป็นหนึ่งกลยุทธ์หลักในการรักษาไว้ซึ่งพนักงานที่มีความสามารถ แต่ไม่ว่าจะทำผลงานดีหรือไม่ พนักงานก็ยังคงได้รับเงินส่วนนี้เท่าเดิมเสมอ ดังนั้นจำนวนเงินเดือนจึงไม่ใช่เครื่องสะท้อน Productivity แต่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของแรงจูงใจในการทำงานเท่านั้น2.Multitasking คือวิธีการทำงานที่ดีหลายคนน่าจะคุ้นชินกับการ Multitasking หรือหมายถึงการทำงานหลายๆ อย่างในเวลาเดียวกัน แต่จากการศึกษาของ University of London พบว่าการทำงานแบบ Multitasking ไม่ได้มีส่วนช่วยให้คุณสามารถทำงานได้เสร็จไวขึ้น เพราะการทำงานแบบนี้ยังสร้างประสิทธิผลน้อยกว่าการจดจ่ออยู่กับการทำงานอย่างใดอย่างหนึ่ง นอกจากนี้การทำงานสลับไปมาหลายงานในเวลาเดียวกันยังมีส่วนในการทำลายความคิดสร้างสรรค์และ IQ ซึ่งเป็นขุมพลังสำคัญของการสร้าง Productivity ในการทำงานอีกด้วย Table of Contents 3.Productivity เป็นสิ่งที่วัดได้ยาก“คนนั้นทำงานเก่ง คนนี้ทำงานดี” คำพูดเหล่านี้ทำให้ Productivity หรือผลิตผลมักอยู่ในรูปของนามธรรมทำให้หลายคนคิดว่าการวัดระดับ Productivity ออกมาเป็นรูปธรรมเป็นเรื่องที่ไม่สามารถทำได้อย่างเสมอภาค เพราะแต่ละตำแหน่งงานก็มีหน้าที่ สภาวะแวดล้อมและทักษะที่ใช้ในการทำงานซึ่งแตกต่างกันโดยในความจริงแล้ว การวัด Productivity เป็นเรื่องที่สามารถทำได้ไม่ยากด้วยมาตราฐานการวัด Productivity แบบต่างๆ ผ่านการใช้กรอบแนวคิดที่เหมาะสม ไม่ว่าจะเป็น MBO KPI หรือ OKR ก็ล้วนเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ต่อการพัฒนาทักษะในการทำงานทั้งสิ้น4.คนเก่งต้องทำงานเองคนเดียวคนเก่งเป็นทรัพยากรบุคคลที่ทุกบริษัทต้องการ แต่การเป็นคนเก่งที่ทำงานคนเดียวเท่านั้นอาจจะไม่ใช่คำตอบที่ตอบสนองต่อแนวคิด Productivity ได้ดีนัก เพราะการทำงานด้วยตัวคนเดียวมีข้อจำกัดด้านภาระงานที่สามารถรับผิดชอบได้การทำงานเป็นทีมจึงเป็นวิธีการทำงานที่ช่วยทลายข้อจำกัดในด้านของปริมาณภาระงานอันมากมายในโปรเจ็คใหญ่ๆ ซึ่งมักจะมีงานหลายประเภทและแต่ละงานก็เหมาะกับคนที่มีความถนัดแตกต่างกัน และการทำงานเป็นทีมยังช่วยพัฒนาทักษะในการบริหารความสัมพันธ์และการสื่อสาร ซึ่งต่างออกไปจากการทำงานเพียงคนเดียวอีกด้วย5.คนทำงานเก่งไม่จำเป็นต้องแสดงออกเก่งคุณเคยเจ็บใจหรือไม่เวลาเห็นคนทำงานไม่เก่งแต่มีทักษะการสื่อสารเป็นเลิศสามารถเสกงานแย่ๆ ให้กลายเป็นผลงานชิ้นโบแดงได้ทันตาเห็น การแสดงออกเป็นทักษะสำคัญที่จะช่วยให้ผู้คนเข้าใจและประทับใจในงานของคุณมากยิ่งขึ้นดังนั้นหากเป็นคนที่ทำงานเก่งแล้ว สิ่งต่อมาที่ต้องต่อยอดคือทักษะการพรีเซนต์ การแสดงออกต่อหน้าผู้คน และการสื่อสารอย่างมีคุณภาพเพื่อเป็นใบเบิกทางสู่ความสำเร็จต่างๆ ในอนาคต6.คนที่ทำงานมีประสิทธิภาพไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องมือช่วยสำหรับการทำงานในยุคโลกาภิวัฒน์ที่ทุกคนใช้เครื่องมือช่วยเหลือในการทำงานแล้ว การไม่ใช้งานเครื่องมือช่วยอาจจะลด Productivity ในการทำงานลง เพราะเครื่องมือเหล่านี้สามารถร่นระยะเวลาในการทำงานที่มีรูปแบบตายตัวหรืองานที่ต้องทำเป็นประจำลงได้เป็นอย่างมาก ซึ่งงานซ้ำๆ จำเจพวกนี้นี่แหละ ที่ทำให้คุณไม่มีเวลาในการสร้างสรรค์คุณค่าใหม่ๆ ดังนั้นหากมีเครื่องมือช่วยงานที่เหมาะสมกับลักษณะงานหรือสามารถเชื่อมโยงไอเดียที่แตกต่างของคุณกับทีมได้ ก็อย่ารีรอที่จะนำมาใช้ประโยชน์เพื่อเพิ่ม Productivity ให้กับงานของคุณเลย7.Productivity สำคัญที่สุดในการทำงานแน่นอนว่า Productivity เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้งานของคุณออกมามีประสิทธิภาพ แต่อย่างไรก็ตามการบริหารคุณภาพชีวิตให้มีความสมดุลและสามารถรักษาความสัมพันธ์ระหว่างคนรอบตัวเอาไว้ได้ก็เป็นสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันเพราะคุณภาพชีวิตที่ดี และการบริหารจัดการเวลาที่พอเหมาะจะส่งผลโดยตรงให้สุขภาพกายและสุขภาพจิตของเราดีขึ้น แน่นอนว่าสิ่งเหล่านั้นจะช่วยผลักดันคุณภาพการทำงาน ความสัมพันธ์ในองค์กร ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีต่อทั้งตัวพนักงานและองค์กรในระยะยาวอีกด้วยสรุปแนวคิดการสร้าง Productivity ในแต่ละบุคคลนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ผลิตภาพของคนในบริษัทเป็นสิ่งที่จำเป็นจะต้องถูกปูความเข้าใจตั้งแต่รากฐาน เพื่อทำให้เข้าใจภาพรวมตรงกันว่าเป้าหมายของบริษัทคืออะไร และทำอย่างไรจึงจะสำเร็จ บุคลากรแต่ละคนจึงสามารถทำตนเองให้มี Productivity ได้อย่างเหมาะสมที่สุดแน่นอนว่าเครื่องมือเองก็มีส่วนเกี่ยวข้องเช่นกัน การมีตัวช่วยที่ดีสำหรับประชุมงานและการสื่อสารภายในทีมที่มีประสิทธิภาพจะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่เพิ่ม Productivity ในบริษัทได้อย่างชัดเจน ซึ่ง True VROOM เป็นอีกหนึ่งแพลตฟอร์มที่สามารถพัฒนาประสิทธิภาพการทำงานของคุณได้มากขึ้น ตอบโจทย์การทำงานของคนรุ่นใหม่ สามารถดูรายละเอียดต่าง ๆ และทดลองใช้งานได้ฟรีที่ True VROOM
Read More
Misunderstanding-about-Productivity-05
August 4, 2022
·
Knowledge
August 4, 2022
2 mins read

7 เรื่องเข้าใจผิด! เกี่ยวกับแนวคิด Productivity

เมื่อพูดถึงการทำงานในยุคปัจจุบัน การเพิ่ม Productivity ให้กับตนเองกลายเป็นสิ่งจำเป็นที่ขาดไม่ได้ที่จะทำให้องค์กรเติบโตขึ้น แต่ยังมีคนจำนวนไม่น้อยที่เข้าใจผิดเกี่ยวกับแนวคิดดังกล่าว และนี่คือ 7 สิ่งที่มักเข้าใจผิดเกี่ยวกับการสร้าง Productivity 1.เงินเดือนเป็นสิ่งที่สะท้อน Productivity Productivity เป็นเรื่องของการบริหารจัดการต้นทุนต่างๆ ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด และแน่นอนว่าย่อมมีเรื่องเงินเดือนเข้ามาเกี่ยวข้อง ทำให้พนักงานหรือแม้แต่ผู้บริหารองค์กรบางรายมองว่าเงินเดือนเป็นสิ่งที่สะท้อน Productivity ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ถูกเสียทีเดียว เงินเดือนเป็นสิ่งที่มีการคำนวณจากปัจจัยต่างๆ มากมาย ทั้งตำแหน่งหน้าที่ ความคาดหวัง ไปจนถึงความสามารถ มีหลายกรณีที่พนักงานได้รับเงินเดือนน้อยกว่าที่ควรจะเป็นแม้ว่าจะมี Performance ที่ดี การให้เงินเดือนสูงๆ จึงเป็นหนึ่งกลยุทธ์หลักในการรักษาไว้ซึ่งพนักงานที่มีความสามารถ แต่ไม่ว่าจะทำผลงานดีหรือไม่ พนักงานก็ยังคงได้รับเงินส่วนนี้เท่าเดิมเสมอ ดังนั้นจำนวนเงินเดือนจึงไม่ใช่เครื่องสะท้อน Productivity แต่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของแรงจูงใจในการทำงานเท่านั้น 2.Multitasking คือวิธีการทำงานที่ดี หลายคนน่าจะคุ้นชินกับการ Multitasking หรือหมายถึงการทำงานหลายๆ อย่างในเวลาเดียวกัน แต่จากการศึกษาของ University of London พบว่าการทำงานแบบ Multitasking ไม่ได้มีส่วนช่วยให้คุณสามารถทำงานได้เสร็จไวขึ้น เพราะการทำงานแบบนี้ยังสร้างประสิทธิผลน้อยกว่าการจดจ่ออยู่กับการทำงานอย่างใดอย่างหนึ่ง นอกจากนี้การทำงานสลับไปมาหลายงานในเวลาเดียวกันยังมีส่วนในการทำลายความคิดสร้างสรรค์และ IQ ซึ่งเป็นขุมพลังสำคัญของการสร้าง Productivity ในการทำงานอีกด้วย Table of Contents 3.Productivity เป็นสิ่งที่วัดได้ยาก “คนนั้นทำงานเก่ง คนนี้ทำงานดี” คำพูดเหล่านี้ทำให้ Productivity หรือผลิตผลมักอยู่ในรูปของนามธรรมทำให้หลายคนคิดว่าการวัดระดับ Productivity ออกมาเป็นรูปธรรมเป็นเรื่องที่ไม่สามารถทำได้อย่างเสมอภาค เพราะแต่ละตำแหน่งงานก็มีหน้าที่ สภาวะแวดล้อมและทักษะที่ใช้ในการทำงานซึ่งแตกต่างกัน โดยในความจริงแล้ว การวัด Productivity เป็นเรื่องที่สามารถทำได้ไม่ยากด้วยมาตราฐานการวัด Productivity แบบต่างๆ ผ่านการใช้กรอบแนวคิดที่เหมาะสม ไม่ว่าจะเป็น MBO KPI หรือ OKR ก็ล้วนเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ต่อการพัฒนาทักษะในการทำงานทั้งสิ้น 4.คนเก่งต้องทำงานเองคนเดียว คนเก่งเป็นทรัพยากรบุคคลที่ทุกบริษัทต้องการ แต่การเป็นคนเก่งที่ทำงานคนเดียวเท่านั้นอาจจะไม่ใช่คำตอบที่ตอบสนองต่อแนวคิด Productivity ได้ดีนัก เพราะการทำงานด้วยตัวคนเดียวมีข้อจำกัดด้านภาระงานที่สามารถรับผิดชอบได้ การทำงานเป็นทีมจึงเป็นวิธีการทำงานที่ช่วยทลายข้อจำกัดในด้านของปริมาณภาระงานอันมากมายในโปรเจ็คใหญ่ๆ ซึ่งมักจะมีงานหลายประเภทและแต่ละงานก็เหมาะกับคนที่มีความถนัดแตกต่างกัน และการทำงานเป็นทีมยังช่วยพัฒนาทักษะในการบริหารความสัมพันธ์และการสื่อสาร ซึ่งต่างออกไปจากการทำงานเพียงคนเดียวอีกด้วย 5.คนทำงานเก่งไม่จำเป็นต้องแสดงออกเก่ง คุณเคยเจ็บใจหรือไม่เวลาเห็นคนทำงานไม่เก่งแต่มีทักษะการสื่อสารเป็นเลิศสามารถเสกงานแย่ๆ ให้กลายเป็นผลงานชิ้นโบแดงได้ทันตาเห็น การแสดงออกเป็นทักษะสำคัญที่จะช่วยให้ผู้คนเข้าใจและประทับใจในงานของคุณมากยิ่งขึ้น ดังนั้นหากเป็นคนที่ทำงานเก่งแล้ว สิ่งต่อมาที่ต้องต่อยอดคือทักษะการพรีเซนต์ การแสดงออกต่อหน้าผู้คน และการสื่อสารอย่างมีคุณภาพเพื่อเป็นใบเบิกทางสู่ความสำเร็จต่างๆ ในอนาคต 6.คนที่ทำงานมีประสิทธิภาพไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องมือช่วย สำหรับการทำงานในยุคโลกาภิวัฒน์ที่ทุกคนใช้เครื่องมือช่วยเหลือในการทำงานแล้ว การไม่ใช้งานเครื่องมือช่วยอาจจะลด Productivity ในการทำงานลง เพราะเครื่องมือเหล่านี้สามารถร่นระยะเวลาในการทำงานที่มีรูปแบบตายตัวหรืองานที่ต้องทำเป็นประจำลงได้เป็นอย่างมาก ซึ่งงานซ้ำๆ จำเจพวกนี้นี่แหละ ที่ทำให้คุณไม่มีเวลาในการสร้างสรรค์คุณค่าใหม่ๆ ดังนั้นหากมีเครื่องมือช่วยงานที่เหมาะสมกับลักษณะงานหรือสามารถเชื่อมโยงไอเดียที่แตกต่างของคุณกับทีมได้ ก็อย่ารีรอที่จะนำมาใช้ประโยชน์เพื่อเพิ่ม Productivity ให้กับงานของคุณเลย 7.Productivity สำคัญที่สุดในการทำงาน แน่นอนว่า Productivity เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้งานของคุณออกมามีประสิทธิภาพ แต่อย่างไรก็ตามการบริหารคุณภาพชีวิตให้มีความสมดุลและสามารถรักษาความสัมพันธ์ระหว่างคนรอบตัวเอาไว้ได้ก็เป็นสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กัน เพราะคุณภาพชีวิตที่ดี และการบริหารจัดการเวลาที่พอเหมาะจะส่งผลโดยตรงให้สุขภาพกายและสุขภาพจิตของเราดีขึ้น แน่นอนว่าสิ่งเหล่านั้นจะช่วยผลักดันคุณภาพการทำงาน ความสัมพันธ์ในองค์กร ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีต่อทั้งตัวพนักงานและองค์กรในระยะยาวอีกด้วย สรุป แนวคิดการสร้าง Productivity ในแต่ละบุคคลนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ผลิตภาพของคนในบริษัทเป็นสิ่งที่จำเป็นจะต้องถูกปูความเข้าใจตั้งแต่รากฐาน เพื่อทำให้เข้าใจภาพรวมตรงกันว่าเป้าหมายของบริษัทคืออะไร และทำอย่างไรจึงจะสำเร็จ บุคลากรแต่ละคนจึงสามารถทำตนเองให้มี Productivity ได้อย่างเหมาะสมที่สุด แน่นอนว่าเครื่องมือเองก็มีส่วนเกี่ยวข้องเช่นกัน การมีตัวช่วยที่ดีสำหรับประชุมงานและการสื่อสารภายในทีมที่มีประสิทธิภาพจะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่เพิ่ม Productivity ในบริษัทได้อย่างชัดเจน ซึ่ง True VROOM เป็นอีกหนึ่งแพลตฟอร์มที่สามารถพัฒนาประสิทธิภาพการทำงานของคุณได้มากขึ้น ตอบโจทย์การทำงานของคนรุ่นใหม่ สามารถดูรายละเอียดต่าง ๆ และทดลองใช้งานได้ฟรีที่ True VROOM
Read More
August 4, 2022
·
Knowledge
August 4, 2022
< 1 min read

7 วิธีสร้าง Culture ให้ทีมแฮปปี้ ด้วยแนวคิด “Happy Workplace”

ไม่ว่าจะทำงานที่ไหน Happy Workplace คือสิ่งที่ทุกคนต้องการ นอกจากจะช่วยคุณทำงานได้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ยังสามารถรักษาคนในทีมให้อยากทำงานกับเราไปนาน ๆ ได้อีกด้วย หากคุณเป็นคนหนึ่งที่อยากทำให้คนในทีมมีความสุข ลองทำตามวิธีนี้ดูสิ อาจได้ผลลัพธ์ที่ใช่ก็ได้! Table of Contents 1. เลือกจ้างคนที่อัธยาศัยดี เข้ากับคนในองค์กรได้สิ่งที่จะส่งเสริม Happy Workplace ให้คงที่ได้อย่างยาวนาน คือ การเลือกจ้างคนที่อัธยาศัยดีและเข้ากับคนในองค์กรได้ตั้งแต่แรก แต่ก็ต้องไม่มองข้ามความสามารถในการทำงานด้วย ในทางกลับกันหากเลือกจ้างคนที่เก่งที่สุดแต่ไม่สามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ ไม่หัวเราะหรือไม่มีท่าทีโต้ตอบที่เป็นมิตร ก็อาจสร้างบรรยากาศที่ไม่ดีให้กับคนในองค์กรถึงขั้นทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานลดลงได้เลย2. กระตุ้นให้คนในทีมพูดคุยหรือทักทายกันการทักทายกันเป็นจุดเริ่มต้นของบทสนทนาอื่น ๆ ที่ช่วยสร้างความสนิทสนมได้ดียิ่งขึ้น และยังทำให้บรรยากาศในวันถัด ๆ ไปเป็นกันเองและผ่อนคลายมากขึ้น ซึ่งส่งผลให้คนในทีมแฮปปี้กับการทำงาน ลองนึกภาพเวลาเราได้อยู่กับเพื่อนร่วมงานที่สนิทสนมและคุ้นเคยกันจะมีความสุขขนาดไหน 3. อย่าทำงาน 40+ ชั่วโมงทั้งสัปดาห์ ชวนกันทำกิจกรรมบ้างลองนึกภาพคนในทีมของคุณนั่งทำงานอย่างเดียววันละ 8 ชั่วโมงติดต่อกัน 5 วัน คงรู้สึกเครียดไม่น้อยเลยใช่ไหมล่ะ เพราะฉะนั้น ควรสร้าง Happy Workplace ด้วยการชวนกันทำกิจกรรมผ่อนคลายบ้าง จะเป็นการเล่นเกม ดูหนัง หรือสั่งอาหารมาทานด้วยกันก็ได้ เพียงแบ่งเวลาให้กับสิ่งเหล่านี้ไม่กี่ชั่วโมงในหนึ่งสัปดาห์ อาจช่วยให้พวกเขามีความสุขและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นอีกด้วย4. แสดงออกว่าเราใส่ใจคนในทีมมากแค่ไหนEmpathy คือ ปัจจัยสำคัญในการทำให้เกิด Happy Workplace จะรู้สึกดีแค่ไหนหากมีคนคอยเอาใจใส่และเข้าใจคุณเสมอไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น คนในทีมของคุณก็ต้องการสิ่งนั้นเช่นกัน เพราะฉะนั้น คอยหมั่นถามเรื่องราวต่าง ๆ กับพวกเขาว่า วันนี้เป็นยังไงบ้าง สบายดีไหม ทานข้าวหรือยัง งานติดปัญหาอะไรหรือเปล่า อยากให้ช่วยตรงไหนไหม หากมีปัญหาก็เข้าไปให้ความช่วยเหลือ จะช่วยให้เขารับรู้ถึงความใส่ใจที่เรามีให้ได้และทำงานได้อย่างมีความสุข5. ส่งเสริมให้พวกเขาคิดถึงเป้าหมาย ไม่ต้องคิดเรื่องงานตลอดเวลาเคล็ดลับหนึ่งที่ช่วยสร้างความสุขในการทำงาน คือ การส่งเสริมให้คนในทีมคิดถึงเป้าหมายของตัวเอง ไม่จำเป็นต้องคิดถึงงานที่อยู่ตรงหน้าตลอดเวลา เพราะบางครั้งงานก็อาจทำให้พวกเขารู้สึกท้อถอยและห่อเหี่ยวได้ หากพวกเขาสามารถค้นเจอเป้าหมาย เราก็ควรที่จะสนับสนุนเขาให้ทำได้สำเร็จ 6. ให้ความสำคัญกับข้อดี พร้อมช่วยแก้ไขข้อด้อยทุกคนมีทั้งข้อดีและข้อด้อย แต่ถ้าจะส่งเสริม Happy Workplace คุณควรให้ความสำคัญกับข้อดีด้วยการชื่นชมพวกเขาเมื่อทำงานดี และหยุดพูดคำว่า “แต่” ต่อท้าย เช่น “ทำดีนะ แต่ว่า…” ทางที่ดีควรเป็นการให้คำแนะนำจะดีกว่า เช่น “ทำดีมาก ๆ เพิ่มส่วนนี้อีกนิดนึงนะจะเพอร์เฟกต์เลย” ดูคล้ายกันแต่ให้ความรู้สึกต่างกันอย่างสิ้นเชิง7. ให้รางวัลเป็นการตอบแทนการทำงานอย่างเหมาะสมรางวัลมักเป็นสิ่งที่ทำให้คนแสดงความสุขออกมาได้เห็นชัดที่สุด เมื่อพวกเขาทำงานแล้วผลตอบรับออกมาดี คุณก็ควรที่จะให้รางวัลเป็นการตอบแทน จะเป็นการให้ของขวัญ การเลื่อนตำแหน่ง การเพิ่มเงินเดือน หรือการแจกโบนัสก็ได้ สิ่งเหล่านี้ช่วยสร้าง Happy Workplace ได้อย่างดีเลยล่ะสรุปลองสร้าง Happy Workplace ด้วยการเลือกคนที่อัธยาศัยดี กระตุ้นให้เกิดการพูดคุยกัน หากิจกรรมผ่อนคลายระหว่างทำงาน วิธีนี้อาจช่วยคนในทีมของคุณอาจมีความสุขมากขึ้นก็ได้ แต่ถ้าอยากให้พวกเขามีความสุขมากขึ้นไปอีก เราต้องไม่ลืมที่จะแสดงความใส่ใจ ความเข้าใจ และส่งเสริมให้พวกเขาคิดถึงเป้าหมายของตัวเองอยู่เสมอ รวมถึงหมั่นชมเวลาเขาทำงานดีและช่วยพัฒนาข้อด้อยไปพร้อม ๆ กันที่สำคัญ คือ ควรให้รางวัลเป็นการตอบแทนเพื่อเป็นขวัญและกำลังใจในการทำงาน ยิ่งไปกว่านั้น ต้องสอบถามและฟังความคิดเห็นของพวกเขาด้วย เพื่อที่จะได้ตอบสนองความต้องการของพวกเขาได้อย่างตรงจุดแทนที่จะคิดเองคนเดียวว่าพวกเขาต้องการอะไร
Read More
August 4, 2022
·
Knowledge
August 4, 2022
2 mins read

Work-Life Balance ทำได้จริงไหม แบบไหนจึงจะเหมาะสม?

จุดสมดุลระหว่างการทำงานกับการใช้ชีวิต หรือ Work-Life Balance ได้กลายเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญสำหรับคนรุ่นใหม่ที่ต้องการจัดสรรเวลาการทำงานแบบมีคุณภาพ ในขณะเดียวกันก็ต้องการเวลาพักผ่อนที่เพียงพอเช่นกันแต่การทำงานที่มีความสมดุลเช่นนี้จะสามารถทำได้จริงหรือไม่ และแนวคิด Work-Life Balance จะส่งผลกระทบอย่างไรกับรูปแบบการทำงานในอนาคต บทความนี้มีคำตอบให้กับคุณWork-Life Balance เมื่อ “งาน” ต้องผสานกับ “ชีวิต”จุดเริ่มต้นของการตามหา Work-Life Balance ของคนจำนวนมากเกิดจากการค้นพบว่างานของตัวเองนั้น “เยอะเกินไป” จนไม่สามารถจัดสรรเวลาไปทำสิ่งอื่นได้ ซึ่งส่งกระทบโดยตรงต่อความเครียด ความสามารถในการทำงาน จนนำไปสู่การตัดสินใจลาออกของพนักงานผลสำรวจช่วงปี 2015 พบว่าคนไทยทำงานเฉลี่ย 50.9 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ย 48 ชั่วโมงของคนทั่วโลก และตัวเลขดังกล่าวก็นับว่าสูงเป็นลำดับต้น ๆ ของเอเชียอีกด้วยแต่วัฒนธรรมการทำงานหนักนี้กำลังถูกท้าทาย เมื่อบริษัท Microsoft ประเทศญี่ปุ่นได้ทดลองให้พนักงานทำงานเพียง 4 วันต่อสัปดาห์ และไม่สนับสนุนให้ทำงานล่วงเวลา ผลปรากฎว่าพนักงานมีประสิทธิภาพการทำงานเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญนั่นเป็นข้อพิสูจน์ได้ว่าการทำงานหนักอาจไม่ตอบโจทย์อีกต่อไป และชีวิตแบบ Work-Life Balance สามารถทำได้หากมีการจัดสรรเวลาที่ดีพอ Table of Contents หนทางสู่การสร้าง Work-Life Balanceแม้ Work-Life Balance จะสามารถทำได้จริง แต่สิ่งที่ทุกคนควรคำนึงเป็นอย่างยิ่งคือความสมดุลระหว่างการทำงานกับการใช้ชีวิตของแต่ละคนนั้นไม่เท่ากัน ดังนั้นผู้ที่จะกำหนดความพอดีระหว่างสองสิ่งนี้ได้ก็คือตัวของคุณเอง ซึ่งคุณสามารถเริ่มต้นหาจุดสมดุลของชีวิตได้ด้วยวิธีการดังนี้1. ตั้งข้อสังเกตในการใช้ชีวิตก่อนเริ่มต้นสร้าง Work-Life Balance ให้ตนเอง อาจลองตั้งข้อสังเกตตามด้วยคำถามว่า คุณมีความสุขในการทำงานปัจจุบันไหม มีเวลาพักผ่อนเพียงพอหรือไม่ คุณภาพชีวิตและการทำงานของคุณเป็นอย่างไรบ้าง หากคุณพบว่าตนเองพอใจกับการใช้ชีวิตในปัจจุบัน และการทำงานไม่ได้ส่งผลเสียต่อการใช้ชีวิตจนเกินไป การตามหา Work-Life Balance อาจไม่ได้จำเป็นมากนักแต่ถ้าคุณพบว่าตนเองมีสภาพแย่ลงจากการทำงาน ไม่ว่าจะร่างกาย จิตใจ หรือมีอาการ Burnout เป็นระยะ ๆ การปรับเปลี่ยนตัวเองเข้าสู่จุดสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงานจะเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่ง2. หาจุดสมดุลของชีวิตและการทำงานไม่มีสิ่งใดในโลกที่ Perfect การ Work-Life Balance ก็เช่นกัน ไม่มีงานไหนที่สบายไปตลอด และไม่ควรมีงานไหนที่หนักจนทำลายชีวิต หลังจากการตั้งข้อสังเกตคุณควรมองหาจุดสมดุลระหว่างการทำงานในปัจจุบันของตนเอง เช่น การทำงาน 9 ชั่วโมง ต่อวันอาจมากเกินไป ลองปรับจุดสมดุลอยู่ที่ 8 ชั่วโมงอาจเหมาะสมกว่าหรือไม่ 3. วางแผนสร้าง Work-Life Balanceเมื่อคุณพบจุดสมดุลของการใช้ชีวิตและการทำงาน สิ่งต่อมาที่ต้องทำคือการวางแผนเพื่อสร้าง Work-Life Balance เป็นของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นการมองหางานที่ชอบ และมีชั่วโมงการทำงานตอบโจทย์ของคุณ วางแผนในการหยุดยาวเพื่อชาร์จพลัง รวมถึงสิ่งสำคัญที่สุดคือ “การขีดเส้นแบ่งระหว่างเวลาการทำงานกับการใช้ชีวิต”4. พยายามปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตการเปลี่ยนแปลงนั้นยากเสมอ โดยเฉพาะกับคนที่มีข้อจำกัดในด้านต่างๆ แต่สุดท้ายแล้วคุณก็จำเป็นต้องพัฒนาคุณภาพชีวิต ด้วยการวางแผนจัดสรร Work-Life Balance ของตัวเอง ซึ่งอาจเริ่มต้นได้ง่ายๆ ด้วยการใช้เวลาพักผ่อนในวันหยุดให้เต็มที่ ไม่ตอบอีเมลนอกเวลางาน หาเวลาออกกำลังกาย และให้ความสำคัญกับสุขภาพตัวเองเป็นหลัก รวมถึงหางานใหม่ที่ตอบโจทย์สมดุลชีวิตของตนเอง5. ตรวจสอบตัวเองอีกรอบ“มีเพียงคุณเท่านั้นที่กำหนด Work-Life Balance ของตนเองได้” หลังจากการเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆ ที่ผ่านมาคุณอาจลองตั้งคำถามกับตัวเองอีกรอบว่าการเปลี่ยนแปลงที่ผ่านมาของเราตอบโจทย์หรือยัง มีอะไรที่สามารถพัฒนา ปรับเปลี่ยนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้การใช้ชีวิตและการทำงานไปในเวลาเดียวกันได้บ้าง ถ้าคุณยังไม่พอใจ ก็ไม่ใช่เรื่องผิดอะไรที่จะลองตามหาหนทางใหม่ ๆ เพื่อทำให้การ Work-Life Balance เหมาะสมกับตัวคุณมากที่สุด สรุปWork-Life Balance เป็นสิ่งที่สามารถทำได้จริง และคุณเองก็สามารถทำได้ด้วย 5 ขั้นตอนที่ได้ระบุไว้ ตั้งแต่การสังเกตตัวเอง หาจุดสมดุล วางแผน ปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต และกลับมาย้อนมองตนเองอีกรอบ ซึ่งแน่นอนว่าความสมดุลของแต่ละคนนั้นแตกต่างกัน คุณควรเลือกวิถีชีวิตที่เหมาะสมกับตนเองมากที่สุด ไม่จำเป็นต้องเลียนแบบวิถีชีวิตของคนอื่น ๆ แต่อย่างใดหนึ่งในตัวช่วยสำคัญที่สามารถทำให้การทำงานของคุณมี Work-Life Balance ดีขึ้นได้ คือ การสื่อสารที่มีคุณภาพ ตอบโจทย์การทำงานของคนรุ่นใหม่ ซึ่ง True VROOM เป็นอีกหนึ่งแพลตฟอร์มที่สามารถพัฒนาประสิทธิภาพการทำงานของคุณได้มากขึ้น สามารถดูรายละเอียดต่าง ๆ และทดลองใช้งานได้ฟรีที่ True VROOM
Read More
should-company-continue-to-work-from-home-thumbnail
August 4, 2022
·
Trends
August 4, 2022
2 mins read

บริษัทควร Work from Home ต่อหรือไม่ในยุคหลัง Covid-19?

หลังสถานการณ์ของ Covid-19 เริ่มบรรเทาลง หลายบริษัทเริ่มให้พนักงานกลับไปทำงานที่ออฟฟิศ บ้างก็ยังคง Work from Home กันอย่างต่อเนื่อง จนเกิดเป็นคำถามว่าบริษัทควรให้พนักงาน Work from Home ต่อหรือไม่หากสถานการณ์ดีขึ้นแล้ว ADP Research Institute สถาบันวิจัยด้านตลาดแรงงานได้เปิดรายงาน People at Work 2022: A Global Workforce View ซึ่งเป็นการสำรวจความคิดเห็นของพนักงานกว่า 32,000 คน รวม 17 ประเทศ พบว่า 64% บอกว่าอาจย้ายงานถ้าต้องเข้าออฟฟิศทุกวัน นอกจากนี้ ยังมีผลสำรวจอีกว่า 80% ของพนักงานต้องการ Work from Home บ้างในบางครั้ง และมากกว่า 1 ใน 3 ยอมให้ลดค่าจ้างเพื่อแลกกับการได้ทำงานที่บ้าน “ยิ่ง Work from Home นานขึ้น คนยิ่งยอมรับการทำงานรูปแบบนี้มากขึ้น” อย่างไรก็ตาม บริษัทจะเลือกว่าควร Work from Home ต่อหรือไม่ คุณต้องดูเหตุผลว่าทำไมถึงควรและไม่ควร และเปรียบเทียบดูว่าแบบไหนดีกว่ากันทั้งต่อบริษัทและพนักงานด้วย Table of Contents เหตุผลที่บริษัทควร Work from Home ต่อ เมื่อพนักงานแสดงความต้องการว่าอยาก Work from Home ต่อไป นั่นหมายความว่าการ Work from Home มีข้อดีหลายอย่างที่ส่งผลในแง่บวกต่อการใช้ชีวิต ได้แก่ 1. ช่วยให้ทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น จากการการสำรวจของ FlexJobs พบว่าผู้ตอบแบบสอบถาม 65% รู้สึกว่าการ Work from Home สามารถทำงานได้มีประสิทธิภาพมากกว่าเมื่อเทียบกับการทำงานรูปแบบเดิม เนื่องจากมีข้อดีในหลาย ๆ ด้าน โดยเฉพาะความยืดหยุ่นในการทำงาน 2. ช่วยลดความเครียดจากการเดินทาง ความเครียดจากปัญหาฝนตก รถติด น้ำท่วมกะทันหัน รวมถึงความรู้สึกถูกเบียดแน่นบนรถไฟฟ้าที่ต้องหายใจรดต้นคอกันอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตของพนักงาน รวมถึงกระทบต่อรายได้ที่ปัญหาดังกล่าวอาจทำให้ไปทำงานสายจนถูกหักเงินเดือน ซึ่งการ Work from Home ทำให้ปัญหาดังกล่าวลดลงได้จริง ๆ และยังส่งผลให้สุขภาพจิตของบรรดาพนักงานดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ 3. ประหยัดค่าใช้จ่ายทั้งของบริษัทและพนักงาน เมื่อไม่ได้เดินทางไปออฟฟิศก็จะประหยัดค่าเดินทาง รวมถึงค่าอาหารที่อาจถูกลงเพราะสามารถทำทานเองได้ที่บ้าน ซึ่งสามารถทานได้หลายมื้อหลายคนอีกด้วย อีกทั้งบริษัทเองก็ได้ประหยัดค่าสาธารณูปโภค ค่าเช่าออฟฟิศ และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องมากขึ้น 4. สื่อสารกันได้ง่ายกว่าช่วงแรก ๆ ช่วงที่ Work from Home ใหม่ ๆ มักจะติดขัดหลายอย่าง แถมไม่ได้เจอหน้าและพูดคุยกับเพื่อนร่วมงานน้อยลงจนพนักงานบางคนโอดโอยว่าขอกลับไปทำงานที่ออฟฟิศ แต่หลังจากคนก็เริ่มคุ้นชินมากขึ้น และเทคโนโลยีที่ใช้ในการสื่อสารอัปเดตฟีเจอร์ที่ตอบโจทย์การทำงานที่บ้านมากขึ้น กลายเป็นว่าคนเริ่มสนุกกับการใช้งานและรู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องไปออฟฟิศก็สามารถสื่อสารกันได้อย่างราบรื่น 5. ช่วยเพิ่มความพึงพอใจของพนักงาน ผู้ตอบแบบสอบถาม 76% กล่าวว่าอยากทำงานกับนายจ้างคนเดิมมากขึ้นหากมีทางเลือกในการทำงานที่ยืดหยุ่น นั่นแสดงว่า Work from Home หรือ Work From Anywhere สร้างความพึงพอใจให้กับพนักงานได้ และยังทำให้พวกเขาอยากทำงานกับเราไปนาน ๆ ด้วย เหตุผลที่บริษัทไม่ควร Work from Home แม้ Work from Home จะมีข้อดี แต่อาจเป็นข้อเสียสำหรับบางคนด้วยเหตุผลหลาย ๆ อย่าง ได้แก่ 1. ประสิทธิภาพของงานลดลง เนื่องจากสภาพแวดล้อมไม่เหมาะสม สภาพแวดล้อมที่เสียงดัง อากาศที่ร้อนอบอ้าว อุปกรณ์และข้าวของเครื่องใช้ต่าง ๆ ที่ไม่เอื้ออำนวย เช่น โต๊ะ เก้าอี้ รวมถึงอินเทอร์เน็ต อาจทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานลดลงได้ บางคนถึงขั้นไม่สามารถทำงานในเวลางานปกติได้จนต้องหอบงานมาทำกลางดึก ซึ่งอาจทำให้สูญเสีย Work Life Balance แทนที่จะทำงานได้ดีขึ้น 2. สื่อสารผิดพลาดบ่อย ใช้เวลาพูดคุยกันนานขึ้น ต้องยอมรับว่าการพูดคุยโดยไม่ได้เจอหน้ากันอาจทำให้การสื่อสารผิดพลาดบ่อย ส่งผลให้งานที่ทำผิดพลาดตามไปด้วย เท่านั้นยังไม่พอ การ Work from Home อาจทำให้พนักงานต้องใช้เวลาในการพูดคุยกันนานขึ้นเพื่อทำความเข้าใจให้ตรงกัน ซึ่งอาจกินเวลางานหลักจนทำให้งานนั้น ๆ ล่าช้า เสร็จไม่ตรงตามไทม์ไลน์ 3. พลาดโอกาสในการทำงานร่วมกัน การที่พนักงานไม่ได้ทำงานร่วมกันนอกจากจะทำให้ความสนิทสนมน้อยลง ยังลดโอกาสในการเรียนรู้งานของเพื่อนร่วมทีมด้วย หรือต่อให้สามารถเรียนรู้ได้แต่ก็ไม่เต็มประสิทธิภาพเท่าไรนัก นอกจากนี้ เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นก็อาจช่วยเหลือได้ยาก เพราะบางงานแก้ปัญหาได้ไม่สะดวกเมื่อต้อง Work from Home 4. พนักงานต้องแบกรับค่าใช้จ่ายด้านสาธารณูปโภคเพิ่มขึ้น ปัญหาที่ตามมาของ Work from Home คือค่าน้ำ ค่าไฟ และค่าอินเทอร์เน็ตที่จำเป็นต้องจ่ายเพิ่ม บางคนคิดว่าเป็นการนำเงินค่าเดินทางมาจ่ายแทนค่าเหล่านี้ แต่สุดท้ายกลับแพงกว่าที่คิดเอาไว้ ยังไม่รวมค่าอุปกรณ์สำนักงานอย่างโต๊ะและเก้าอี้ที่ต้องซื้อใหม่อีก นี่จึงเป็นอีกปัญหาหนึ่งที่ส่งผลต่อสุขภาพจิตของพนักงานที่อาจส่งผลต่อคุณภาพของงานด้วยเช่นกัน 5. เกิดอคติระหว่างพนักงาน เพราะรู้สึกว่า Work from Home แล้วทำงานไม่เท่ากัน ความยืดหยุ่นเป็นข้อดีของ Work from Home แต่อาจมีช่องโหว่ที่ทำให้พนักงานบางส่วนเกิดความสงสัยว่าเพื่อนคนอื่นทำงานหรือไม่ ซึ่งอาจเกิดจากการจัดสรรงานและมีช่วงเวลาในการทำงานที่แตกต่างกัน ทำให้เกิดโอกาสเข้าใจผิดได้ง่ายขึ้น ทางออกสำหรับบริษัทในยุคปัจจุบันเมื่อรูปแบบการทำงานเปลี่ยนไป 1. ทำความเข้าใจธรรมชาติของพนักงานมากขึ้น องค์กรจำเป็นต้องรู้ว่าพนักงานของตนเองเป็นอย่างไรเพื่อที่จะตอบสนองความต้องการได้อย่างตรงจุด...
Read More
True VWORLD-Hybrid Work 02
August 4, 2022
·
Trends
August 4, 2022
2 mins read

รู้จัก Hybrid Working รูปแบบการทำงานหลังยุค COVID

การทำงานจากบ้าน (Work from Home) และการทำงานจากที่ไหนก็ได้ (Work from Anywhere) กลายเป็นเทรนด์สำคัญในยุคปัจจุบันจากภาวะโรคระบาด COVID-19 และแม้ว่าสถานการณ์โรคภัยดังกล่าวจะเริ่มดีขึ้นบ้างแต่การทำงานโดยไม่ต้องเข้าบริษัทกลับยังคงความนิยมอยู่ และนำมาซึ่งเทรนด์ใหม่ที่เป็นการผสมผสานการทำงานหลากหลายรูปแบบอย่าง Hybrid Working Hybrid Working ความลงตัวของการทำงานสมัยใหม่  Hybrid Working คือ รูปแบบการทำงานที่ผสมผสานกันระหว่างการไปบริษัทแบบดั้งเดิม กับการทำงานจากที่ไหนก็ได้ ทำให้เกิดความยืดหยุ่นในการทำงานที่มากขึ้น แต่ยังคงการทำงานในรูปแบบองค์กรที่ค่อนข้างเหนียวแน่นเอาไว้ โดยการทำงานแบบ Hybrid Working ของแต่ละองค์กรจะมีความแตกต่างกันออกไปตามนโยบายของผู้บริหาร บางบริษัทมีการจัดกลุ่มพนักงานเพื่อแบ่งแยกชัดเจนระหว่างพนักงานที่ต้องทำงานในออฟฟิศ 100% และพนักงานที่สามารถทำงานแบบ Hybrid Working ได้ ส่วนบางบริษัทที่มีความยืดหยุ่นสูง ก็อาจปล่อยพนักงานทำงานของตนเองโดยไม่ควบคุมอะไรเลย ใช้แค่การประชุมอัปเดตงานช่วงต้น-ปลายสัปดาห์เท่านั้น Table of Contents กระแสการทำงาน Hybrid Working ในช่วงที่ผ่านมา เหตุผลที่การทำงานแบบ Hybrid Working ยังได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ แม้ว่าสถานการณ์ Covid-19 จะเริ่มดีขึ้นแล้ว เป็นผลมาจากหลายปัจจัยประกอบกัน ได้แก่ พนักงานส่วนมากพอใจที่ได้รับอิสระในการเลือกสถานที่ทำงาน พนักงานไม่ต้องเผชิญกับสภาวะการจราจรติดขัดในทุก ๆ วัน เครื่องมือสำหรับ Remote Work มีคุณภาพมากขึ้นในราคาที่เหมาะสม ซึ่งบริษัทใหญ่ระดับโลกอย่าง Google, Facebook และ Microsoft ต่างก็มีนโยบาย Hybrid Working ด้วยกันแทบทั้งสิ้น และกระแสการทำงานรูปแบบดังกล่าวก็ยังกระจายไปในหลาย ๆ ประเทศอีกด้วย ซึ่งจากผลสำรวจของ intuition.com พบว่า 83% ของพนักงานที่ตอบแบบสอบถามต้องการทำงานแบบ Hybrid Working สำหรับทีมงาน True VWORLD ก็มีการทำงานในรูปแบบของ Hybrid Working อย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงที่ Covid-19 ระบาดระลอกแรกจวบจนปัจจุบัน โดยผสมผสานความอิสระให้คนในทีมสามารถทำงานจากบ้าน หรือที่ไหน ๆ ก็ได้ผ่านแพลตฟอร์ม True VWORK รวมกับการสานสัมพันธ์ในองค์กรเพื่อเพิ่มความมีชีวิตชีวา ทั้งในรูปแบบการนัดเข้าออฟฟิศสัปดาห์ละวันเพื่อพบปะกันตามความต้องการของคนในทีม การเช็คอิน และทำ 1-1 Session เพื่อติดตามอัปเดตชีวิตผ่าน True VROOM ทำให้การทำงานยังคงมีประสิทธิภาพ และพนักงานมีความสุขในการทำงานไปในเวลาเดียวกัน ข้อดีของการทำงานแบบ Hybrid Working 1. มีความยืดหยุ่นในการทำงาน ความโดดเด่นของ Hybrid Working คือการที่พนักงานได้รับอิสระในการทำงานมากยิ่งขึ้น หลายคนสามารถทำงานจากบ้านตนเอง สถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ หรือแม้แต่ต่างประเทศได้ ภายใต้ข้อตกลงที่กำหนดไว้ของบริษัท ทำให้พนักงานเกิดความผ่อนคลายมากขึ้น 2. ดึงดูดบุคลากรจากหลากหลายพื้นที่ Hybrid Working ยังมีส่วนช่วยอย่างมากในเรื่องการสรรหาบุคลากร เพราะเปิดโอกาสและดึงดูดให้บุคลากรที่มีศักยภาพแต่อยู่ไกลบริษัทสนใจสมัครเข้าร่วมงานโดยไม่จำเป็นต้องเดินทางเข้าออฟฟิศ ทำให้บริษัทมีโอกาสได้บุคลากรคุณภาพจากหลากหลายพื้นที่มากขึ้น 3. ลดค่าใช้จ่ายขององค์กรในระยะยาว การทำงานแบบ Hybrid Working ช่วยลดค่าใช้จ่ายโดยรวมของบริษัทอย่างมาก ทั้งค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับสาธารณูปโภคภายในออฟฟิศ ขนาดของออฟฟิศ ทำให้มีโอกาสนำเงินส่วนนี้ไปพัฒนาองค์กรในด้านอื่น ๆ มากยิ่งขึ้น ความท้าทายของการทำงานแบบ Hybrid Working 1. การทำงานบางส่วนอาจมีความยุ่งยากมากขึ้น ปฏิเสธไม่ได้ว่าการทำงานแบบ Hybrid Working อาจนำพาความยุ่งยากบางอย่างให้กับบริษัท ทั้งจากความไม่คุ้นชินทางเทคโนโลยีของพนักงาน การอัปเกรดซอฟต์แวร์ และฮาร์ดแวร์เพื่อรองรับการทำงานที่บ้าน การเก็บข้อมูลเป็นเอกสาร การทำงานกับเครื่องจักรขนาดใหญ่ ไปจนถึงการพูดคุยกับลูกค้า ซึ่งในปัจจุบันได้มีการใช้งานเทคโนโลยีต่าง ๆ เพื่อช่วยแก้ไขปัญหาดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็นการใช้งาน Cloud Computing เพื่อเก็บและประมวลผลข้อมูล การใช้ IoT ร่วมกับเครื่องจักรในโรงงานขนาดใหญ่ และการใช้ระบบ CRM (Customer Relationship Management) ในการจัดการความสัมพันธ์ลูกค้า เพื่อให้การทำงานแบบ Hybrid Working ดียิ่งขึ้นไปอีก 2. ประสิทธิภาพการสื่อสารที่อาจไม่เทียบเท่าเก่า การสื่อสารคือองค์ประกอบหลักสำหรับการทำงานทุกยุคสมัย การทำงานในออฟฟิศเดียวกันจะทำให้พนักงานแต่ละแผนกต่างไปมาหาสู่ มีปฏิสัมพันธ์กันมากขึ้น หากมีปัญหาอะไรก็สามารถไถ่ถามกันได้ง่าย ๆ แต่การทำงานแบบ Hybrid Working อาจทำให้การสื่อสารอย่างใกล้ชิดสนิทสนมเป็นไปได้ยากขึ้น โดยเฉพาะพนักงานใหม่ที่ยังไม่รู้จักกันดี 3. วัฒนธรรมองค์กรแบบเก่ากำลังถูกท้าทาย “ทำงานต้องไปออฟฟิศ” เปรียบเสมือนภาพจำของพนักงานยุคก่อน Covid วัฒนธรรมองค์กร และแนวทางการบริหารจัดการบุคคลส่วนใหญ่จึงมีแนวโน้มที่จะตอบสนอง “พนักงานที่อยู่ออฟฟิศ” เป็นหลัก การทำงานแบบ Hybrid Working จึงกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เหล่าผู้บริหารต้องคิดเผื่อ “พนักงานที่ไม่ได้เข้าออฟฟิศ” มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบการติดต่อสื่อสาร ผลประโยชน์ตอบแทนของพนักงาน และนโยบายการทำงานร่วมกับทีม สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นโจทย์สำคัญที่ผู้บริหารองค์กรทั้งใหญ่ และเล็กจำเป็นต้องทำการบ้านอย่างเข้มข้น เพื่อให้กระบวนการทำงานทั้งหมดมีประสิทธิภาพที่สุด เทคโนโลยีเพื่อการทำงานแบบ Hybrid Working เทคโนโลยีด้านการจัดการบุคลากร เช่น การใช้แพลตฟอร์มออนไลน์ในการดูแลพนักงาน บริหารจัดการวันลา รวมถึงจัดการผลตอบแทนต่าง ๆ เทคโนโลยีด้านเอกสาร เช่น การใช้งานเอกสารออนไลน์แทนเอกสารที่เป็นกระดาษ การทำงานบน Cloud แทนการพิมพ์เอกสารลงในคอมพิวเตอร์ปกติ เทคโนโลยีด้านการสื่อสาร เช่น การใช้แพลตฟอร์มออนไลน์อย่าง Google Meet, True VWORK และTrue VROOM ในการสื่อสารและการส่งข้อมูล สรุป Hybrid Working กลายเป็นอีกหนึ่งเทรนด์สำคัญสำหรับการทำงานในไทย ซึ่งผู้บริหารและพนักงานของทุกบริษัทจำเป็นต้องเรียนรู้และปรับตัวเพื่อการเติบโตอย่างมั่นคงในอนาคต นอกจากนั้นยังจำเป็นต้องมีแพลตฟอร์มที่มีคุณภาพ สามารถตอบสนองการทำงานยุคใหม่ได้ดี True VWORLD...
Read More
Previous 1 2 3 4 5 Next
okr-objective-key-results-thumbnail
August 4, 2022
·
Knowledge
August 4, 2022
2 mins read

ขับเคลื่อนธุรกิจให้ถึงเป้าหมายด้วยการใช้ OKR

การตั้งเป้าหมายและวัดผลเป็นกระบวนการสำคัญที่ทุกๆ ธุรกิจควรคำนึงถึง แต่วิธีการตั้งเป้าหมายแบบไหนกันที่มีประสิทธิภาพและยืดหยุ่นเหมาะกับยุคสมัยที่การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นได้ในทุกวินาที คำตอบนั้นคือ OKR (Objective and Key Results) หนึ่งในหลักการที่ได้รับความนิยมจากธุรกิจชั้นนำทั่วโลกนั่นเอง OKR สุดยอดกรอบแนวคิดที่ผู้บริหารควรเรียนรู้ รู้จักกับ OKR Objective and Key Result หรือย่อสั้นๆ ว่า OKR เป็นหลักการของตั้งเป้าหมายในการทำงาน (Objective) และตัวชี้วัดในการประเมินความสำเร็จของผลลัพธ์ที่ได้ (Key Result) เพื่อให้ทุกคนในองค์กรมีเป้าหมายในการทำงานร่วมกัน ที่นอกจากจะสัมพันธ์กับการพัฒนาส่วนบุคคลแล้ว ยังสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาในระดับต่างๆ ขององค์กรอีกด้วย OKR ไม่ได้เป็นเรื่องใหม่อย่างที่หลายๆ คนเข้าใจ แนวคิดดังกล่าวถูกใช้เป็นเครื่องมือสำหรับการขับเคลื่อนธุรกิจให้ประสบความสำเร็จมาแล้วมากมาย แต่การที่ทำให้แนวคิดการตั้งเป้าแบบ OKR เริ่มมีชื่อเสียงจริงๆ คือ การปรับใช้หลักของ OKR เข้ากับการบริหารบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Intel Corperation โดยประธานคณะกรรมการบริหารอย่างคุณ Andrew Grove ในช่วงคริสต์ทศวรรษที่ 1970 OKR ยังมีการใช้งานอย่างต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งอาจมีการปรับเปลี่ยนวิธีการยิบย่อยต่างๆ ในการตั้งเป้าหมายเพื่อเป็นกุญแจแห่งความสำเร็จ กระนั้นสิ่งที่ยังคงอยู่เสมอมา คือ “การตั้งเป้าให้เหนือกว่าความสำเร็จเดิม” ที่กระตุ้นให้บริษัทเติบโตมากขึ้น Table of Contents ประโยชน์ของการใช้ OKR 1.สร้างแรงผลักดันในการพัฒนาตัวเองแก่พนักงาน กรอบแนวคิดแบบ OKR ให้ความสำคัญกับการสร้างแรงผลักดันในการพัฒนาตัวเองของพนักงานที่ต้องรับมือกับการเปลี่ยนแปลงและความท้าทายใหม่ๆ อยู่เสมอ OKR จึงมุ่งเน้นไปที่การทบทวนกระบวนการทำงานเพื่อให้พนักงานสามารถพัฒนาศักยภาพการทำงานได้อย่างรวดเร็ว 2.มองเห็นแนวทางในการแก้ปัญหาได้ชัดเจนขึ้น ในกรณีที่เกิดปัญหาในกระบวนการทำงานขึ้นนั้น ผู้บริหารสามารถทราบแนวทางในการแก้ปัญหาได้จากการวิเคราะห์คะแนนประเมินผล OKR ในเชิงตัวเลขว่างานส่วนใดที่ควรปรับปรุงกระบวนการทำงานและงานส่วนไหนที่ทำได้ดีอยู่แล้ว 3.องค์กรและบุคลากรพัฒนาไปอย่างสอดคล้องกัน การสร้าง OKR ที่ดีจะช่วยให้ทุกระดับขององค์กรมีการพัฒนาไปในทิศทางเดียวกัน ตั้งแต่เป้าหมายระดับบุคคลที่มีความเฉพาะเจาะจงกับการพัฒนาศักยภาพของพนักงาน เป้าหมายระดับทีมอย่างการทำโปรเจกต์ จนไปถึงเป้าหมายระดับองค์กรซึ่งเป็นกุญแจสำคัญของการขับเคลื่อนธุรกิจไปสู่ความสำเร็จในท้ายที่สุด ตัวอย่างการใช้งาน OKR OKR สำหรับธุรกิจ Objective: ธุรกิจเติบโตขึ้น 30% Key Result: 1. ยอดขายมากกว่า 5 ล้านบาท 2. ออกผลิตภัณฑ์ใหม่ 5 รายการภายในไตรมาสที่ 2 3. อัตราการขอคืนสินค้าต่ำกว่า 3% OKR สำหรับฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์ Objective: เพิ่มความพึงพอใจของลูกค้าเพื่อลดอัตราการขอคืนสินค้า (สอดคล้องกับ อัตราการขอคืนสินค้าต่ำกว่า 3%) Key Result: 1. เก็บ Feedback จากลูกค้าอย่างน้อย 10 รายต่อเดือน 2. เพิ่มอัตราการกลับมาใช้บริการซ้ำของลูกค้า 50% 3. ได้คะแนน NPS (Net Promoter score) เพิ่มขึ้นจาก 70 เป็น 90 คะแนน OKR สำหรับพนักงานขาย Objective: เปลี่ยนไปใช้กลยุทธ์ลูกค้าสัมพันธ์เชิงรุกแทนเชิงรับ (สอดคล้องกับ เพิ่มอัตราการกลับมาใช้บริการซ้ำของลูกค้า 50%) Key Result: 1. ลดอัตราการเลิกใช้บริการของลูกค้าประจำ 50% 2. ลดจำนวนคำร้องเรียนที่ไม่พึงพอใจจากลูกค้าลง 50% จะสังเกตได้ว่า OKR ทั้งสามประเภทจะสอดคล้องกันตามหลักการการตั้งเป้าหมาย โดยจะมี OKR สำหรับธุรกิจในภาพใหญ่ เพื่อกำหนด Objective ของบริษัท และใช้ OKR สำหรับทีม และ OKR คอยซัพพอร์ต ทั้งนี้ตัวอย่างด้านบนเป็นเพียงการกำหนด OKR คร่าวๆ เท่านั้น การกำหนด OKR ในบริษัทจริงๆ จะมีรายละเอียดมากกว่านี้พอสมควรทีเดียว วิธีการกำหนด OKR ให้เหมาะกับธุรกิจของคุณ กำหนด OKR เป็นลำดับขั้น การกำหนด OKR ที่ดีควรมีการตั้งเป็นลำดับขั้น โดยมีการกำหนด OKR ใหญ่สุดก่อน โดยอ้างอิงจากภาพรวมบริษัทเป็นหลัก แล้วจึงแยกย่อยลงมาในระดับทีม บุคคล และเพิ่มรายละเอียด เพื่อทำให้ OKR ดังกล่าวเป็นการกำหนดเป้าหมายที่มีประสิทธิภาพ เช่น สำหรับบริษัทประเภท Startup ควรกำหนด OKR ของบริษัทเป็นอันดับแรก และทำการแยกย่อยมาในระดับทีม ว่าแต่ละทีมมี Objective อะไรที่สามารถตอบสนอง Key Result ของบริษัทได้บ้าง สุดท้ายคือการกำหนด OKR ส่วนบุคคลที่สอดคล้องกับทีมที่ตนเองสังกัด แน่นอนว่าการกำหนด Objective สามารถทำได้หลายข้อ แต่ฝ่ายบริหารจำเป็นต้องประเมินทีม รวมถึงตนเองว่ามี Human Resource และ Man Hours เพียงพอและสามารถทำตาม OKR ได้หรือไม่ มีอันไหนยาก หรือง่ายเกินไป และ OKR ทุกอันจำเป็นต้องวัดผลได้จริง ไม่ใช่แค่เป้าหมายบนเมฆให้เราคว้าจับเท่านั้นเท่านั้น กำหนด OKR โดยการฟังเสียงของคนทำงาน การตั้งเป้าหมายที่มีรากฐานมาจากข้อมูลในอดีตโดยการฟังเสียงของคนทำงานจริงช่วยให้บริษัทสามารถวิเคราะห์และประมาณการตั้ง OKR ที่เหมาะสม โดยไม่ง่ายเกินไปจนสำเร็จได้ง่ายๆ หรือท้าทายเกินไปจนหาหนทางแห่งความสำเร็จไม่เจอ และหากให้พนักงานมีส่วนร่วมในการกำหนด OKR ของตัวเองจะส่งผลดีต่อมากยิ่งขึ้น นอกจากที่ OKR จะทำให้ทุกคนเห็นภาพขององค์กรและความสำเร็จร่วมกันแล้ว ยังเสริมสร้างความเข้าใจต่องานที่ได้รับมอบหมายเพื่อบรรลุ OKR อย่างสอดคล้องและเป็นไปในแนวทางเดียวกันจนกลายเป็นกุญแจแห่งความสำเร็จของธุรกิจคุณอีกด้วย สรุป...
Read More
August 4, 2022
·
August 4, 2022
2 mins read

ขับเคลื่อนธุรกิจให้ถึงเป้าหมายด้วยการใช้ OKR

การตั้งเป้าหมายและวัดผลเป็นกระบวนการสำคัญที่ทุกๆ ธุรกิจควรคำนึงถึง แต่วิธีการตั้งเป้าหมายแบบไหนกันที่มีประสิทธิภาพและยืดหยุ่นเหมาะกับยุคสมัยที่การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นได้ในทุกวินาที คำตอบนั้นคือ OKR (Objective and Key Results) หนึ่งในหลักการที่ได้รับความนิยมจากธุรกิจชั้นนำทั่วโลกนั่นเอง OKR สุดยอดกรอบแนวคิดที่ผู้บริหารควรเรียนรู้ รู้จักกับ OKR Objective and Key Result หรือย่อสั้นๆ ว่า OKR เป็นหลักการของตั้งเป้าหมายในการทำงาน (Objective) และตัวชี้วัดในการประเมินความสำเร็จของผลลัพธ์ที่ได้ (Key Result) เพื่อให้ทุกคนในองค์กรมีเป้าหมายในการทำงานร่วมกัน ที่นอกจากจะสัมพันธ์กับการพัฒนาส่วนบุคคลแล้ว ยังสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาในระดับต่างๆ ขององค์กรอีกด้วย OKR ไม่ได้เป็นเรื่องใหม่อย่างที่หลายๆ คนเข้าใจ แนวคิดดังกล่าวถูกใช้เป็นเครื่องมือสำหรับการขับเคลื่อนธุรกิจให้ประสบความสำเร็จมาแล้วมากมาย แต่การที่ทำให้แนวคิดการตั้งเป้าแบบ OKR เริ่มมีชื่อเสียงจริงๆ คือ การปรับใช้หลักของ OKR เข้ากับการบริหารบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Intel Corperation โดยประธานคณะกรรมการบริหารอย่างคุณ Andrew Grove ในช่วงคริสต์ทศวรรษที่ 1970 OKR ยังมีการใช้งานอย่างต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งอาจมีการปรับเปลี่ยนวิธีการยิบย่อยต่างๆ ในการตั้งเป้าหมายเพื่อเป็นกุญแจแห่งความสำเร็จ กระนั้นสิ่งที่ยังคงอยู่เสมอมา คือ “การตั้งเป้าให้เหนือกว่าความสำเร็จเดิม” ที่กระตุ้นให้บริษัทเติบโตมากขึ้น Table of Contents ประโยชน์ของการใช้ OKR 1.สร้างแรงผลักดันในการพัฒนาตัวเองแก่พนักงาน กรอบแนวคิดแบบ OKR ให้ความสำคัญกับการสร้างแรงผลักดันในการพัฒนาตัวเองของพนักงานที่ต้องรับมือกับการเปลี่ยนแปลงและความท้าทายใหม่ๆ อยู่เสมอ OKR จึงมุ่งเน้นไปที่การทบทวนกระบวนการทำงานเพื่อให้พนักงานสามารถพัฒนาศักยภาพการทำงานได้อย่างรวดเร็ว 2.มองเห็นแนวทางในการแก้ปัญหาได้ชัดเจนขึ้น ในกรณีที่เกิดปัญหาในกระบวนการทำงานขึ้นนั้น ผู้บริหารสามารถทราบแนวทางในการแก้ปัญหาได้จากการวิเคราะห์คะแนนประเมินผล OKR ในเชิงตัวเลขว่างานส่วนใดที่ควรปรับปรุงกระบวนการทำงานและงานส่วนไหนที่ทำได้ดีอยู่แล้ว 3.องค์กรและบุคลากรพัฒนาไปอย่างสอดคล้องกัน การสร้าง OKR ที่ดีจะช่วยให้ทุกระดับขององค์กรมีการพัฒนาไปในทิศทางเดียวกัน ตั้งแต่เป้าหมายระดับบุคคลที่มีความเฉพาะเจาะจงกับการพัฒนาศักยภาพของพนักงาน เป้าหมายระดับทีมอย่างการทำโปรเจกต์ จนไปถึงเป้าหมายระดับองค์กรซึ่งเป็นกุญแจสำคัญของการขับเคลื่อนธุรกิจไปสู่ความสำเร็จในท้ายที่สุด ตัวอย่างการใช้งาน OKR OKR สำหรับธุรกิจ Objective: ธุรกิจเติบโตขึ้น 30% Key Result: 1. ยอดขายมากกว่า 5 ล้านบาท 2. ออกผลิตภัณฑ์ใหม่ 5 รายการภายในไตรมาสที่ 2 3. อัตราการขอคืนสินค้าต่ำกว่า 3% OKR สำหรับฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์ Objective: เพิ่มความพึงพอใจของลูกค้าเพื่อลดอัตราการขอคืนสินค้า (สอดคล้องกับ อัตราการขอคืนสินค้าต่ำกว่า 3%) Key Result: 1. เก็บ Feedback จากลูกค้าอย่างน้อย 10 รายต่อเดือน 2. เพิ่มอัตราการกลับมาใช้บริการซ้ำของลูกค้า 50% 3. ได้คะแนน NPS (Net Promoter score) เพิ่มขึ้นจาก 70 เป็น 90 คะแนน OKR สำหรับพนักงานขาย Objective: เปลี่ยนไปใช้กลยุทธ์ลูกค้าสัมพันธ์เชิงรุกแทนเชิงรับ (สอดคล้องกับ เพิ่มอัตราการกลับมาใช้บริการซ้ำของลูกค้า 50%) Key Result: 1. ลดอัตราการเลิกใช้บริการของลูกค้าประจำ 50% 2. ลดจำนวนคำร้องเรียนที่ไม่พึงพอใจจากลูกค้าลง 50% จะสังเกตได้ว่า OKR ทั้งสามประเภทจะสอดคล้องกันตามหลักการการตั้งเป้าหมาย โดยจะมี OKR สำหรับธุรกิจในภาพใหญ่ เพื่อกำหนด Objective ของบริษัท และใช้ OKR สำหรับทีม และ OKR คอยซัพพอร์ต ทั้งนี้ตัวอย่างด้านบนเป็นเพียงการกำหนด OKR คร่าวๆ เท่านั้น การกำหนด OKR ในบริษัทจริงๆ จะมีรายละเอียดมากกว่านี้พอสมควรทีเดียว วิธีการกำหนด OKR ให้เหมาะกับธุรกิจของคุณ กำหนด OKR เป็นลำดับขั้น การกำหนด OKR ที่ดีควรมีการตั้งเป็นลำดับขั้น โดยมีการกำหนด OKR ใหญ่สุดก่อน โดยอ้างอิงจากภาพรวมบริษัทเป็นหลัก แล้วจึงแยกย่อยลงมาในระดับทีม บุคคล และเพิ่มรายละเอียด เพื่อทำให้ OKR ดังกล่าวเป็นการกำหนดเป้าหมายที่มีประสิทธิภาพ เช่น สำหรับบริษัทประเภท Startup ควรกำหนด OKR ของบริษัทเป็นอันดับแรก และทำการแยกย่อยมาในระดับทีม ว่าแต่ละทีมมี Objective อะไรที่สามารถตอบสนอง Key Result ของบริษัทได้บ้าง สุดท้ายคือการกำหนด OKR ส่วนบุคคลที่สอดคล้องกับทีมที่ตนเองสังกัด แน่นอนว่าการกำหนด Objective สามารถทำได้หลายข้อ แต่ฝ่ายบริหารจำเป็นต้องประเมินทีม รวมถึงตนเองว่ามี Human Resource และ Man Hours เพียงพอและสามารถทำตาม OKR ได้หรือไม่ มีอันไหนยาก หรือง่ายเกินไป และ OKR ทุกอันจำเป็นต้องวัดผลได้จริง ไม่ใช่แค่เป้าหมายบนเมฆให้เราคว้าจับเท่านั้นเท่านั้น กำหนด OKR โดยการฟังเสียงของคนทำงาน การตั้งเป้าหมายที่มีรากฐานมาจากข้อมูลในอดีตโดยการฟังเสียงของคนทำงานจริงช่วยให้บริษัทสามารถวิเคราะห์และประมาณการตั้ง OKR ที่เหมาะสม โดยไม่ง่ายเกินไปจนสำเร็จได้ง่ายๆ หรือท้าทายเกินไปจนหาหนทางแห่งความสำเร็จไม่เจอ และหากให้พนักงานมีส่วนร่วมในการกำหนด OKR ของตัวเองจะส่งผลดีต่อมากยิ่งขึ้น นอกจากที่ OKR จะทำให้ทุกคนเห็นภาพขององค์กรและความสำเร็จร่วมกันแล้ว ยังเสริมสร้างความเข้าใจต่องานที่ได้รับมอบหมายเพื่อบรรลุ OKR อย่างสอดคล้องและเป็นไปในแนวทางเดียวกันจนกลายเป็นกุญแจแห่งความสำเร็จของธุรกิจคุณอีกด้วย สรุป...
Read More
August 4, 2022
·
August 4, 2022
< 1 min read

7 เรื่องเข้าใจผิด! เกี่ยวกับแนวคิด Productivity

เมื่อพูดถึงการทำงานในยุคปัจจุบัน การเพิ่ม Productivity ให้กับตนเองกลายเป็นสิ่งจำเป็นที่ขาดไม่ได้ที่จะทำให้องค์กรเติบโตขึ้น แต่ยังมีคนจำนวนไม่น้อยที่เข้าใจผิดเกี่ยวกับแนวคิดดังกล่าว และนี่คือ 7 สิ่งที่มักเข้าใจผิดเกี่ยวกับการสร้าง Productivity1.เงินเดือนเป็นสิ่งที่สะท้อน ProductivityProductivity เป็นเรื่องของการบริหารจัดการต้นทุนต่างๆ ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด และแน่นอนว่าย่อมมีเรื่องเงินเดือนเข้ามาเกี่ยวข้อง ทำให้พนักงานหรือแม้แต่ผู้บริหารองค์กรบางรายมองว่าเงินเดือนเป็นสิ่งที่สะท้อน Productivity ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ถูกเสียทีเดียวเงินเดือนเป็นสิ่งที่มีการคำนวณจากปัจจัยต่างๆ มากมาย ทั้งตำแหน่งหน้าที่ ความคาดหวัง ไปจนถึงความสามารถ มีหลายกรณีที่พนักงานได้รับเงินเดือนน้อยกว่าที่ควรจะเป็นแม้ว่าจะมี Performance ที่ดี การให้เงินเดือนสูงๆ จึงเป็นหนึ่งกลยุทธ์หลักในการรักษาไว้ซึ่งพนักงานที่มีความสามารถ แต่ไม่ว่าจะทำผลงานดีหรือไม่ พนักงานก็ยังคงได้รับเงินส่วนนี้เท่าเดิมเสมอ ดังนั้นจำนวนเงินเดือนจึงไม่ใช่เครื่องสะท้อน Productivity แต่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของแรงจูงใจในการทำงานเท่านั้น2.Multitasking คือวิธีการทำงานที่ดีหลายคนน่าจะคุ้นชินกับการ Multitasking หรือหมายถึงการทำงานหลายๆ อย่างในเวลาเดียวกัน แต่จากการศึกษาของ University of London พบว่าการทำงานแบบ Multitasking ไม่ได้มีส่วนช่วยให้คุณสามารถทำงานได้เสร็จไวขึ้น เพราะการทำงานแบบนี้ยังสร้างประสิทธิผลน้อยกว่าการจดจ่ออยู่กับการทำงานอย่างใดอย่างหนึ่ง นอกจากนี้การทำงานสลับไปมาหลายงานในเวลาเดียวกันยังมีส่วนในการทำลายความคิดสร้างสรรค์และ IQ ซึ่งเป็นขุมพลังสำคัญของการสร้าง Productivity ในการทำงานอีกด้วย Table of Contents 3.Productivity เป็นสิ่งที่วัดได้ยาก“คนนั้นทำงานเก่ง คนนี้ทำงานดี” คำพูดเหล่านี้ทำให้ Productivity หรือผลิตผลมักอยู่ในรูปของนามธรรมทำให้หลายคนคิดว่าการวัดระดับ Productivity ออกมาเป็นรูปธรรมเป็นเรื่องที่ไม่สามารถทำได้อย่างเสมอภาค เพราะแต่ละตำแหน่งงานก็มีหน้าที่ สภาวะแวดล้อมและทักษะที่ใช้ในการทำงานซึ่งแตกต่างกันโดยในความจริงแล้ว การวัด Productivity เป็นเรื่องที่สามารถทำได้ไม่ยากด้วยมาตราฐานการวัด Productivity แบบต่างๆ ผ่านการใช้กรอบแนวคิดที่เหมาะสม ไม่ว่าจะเป็น MBO KPI หรือ OKR ก็ล้วนเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ต่อการพัฒนาทักษะในการทำงานทั้งสิ้น4.คนเก่งต้องทำงานเองคนเดียวคนเก่งเป็นทรัพยากรบุคคลที่ทุกบริษัทต้องการ แต่การเป็นคนเก่งที่ทำงานคนเดียวเท่านั้นอาจจะไม่ใช่คำตอบที่ตอบสนองต่อแนวคิด Productivity ได้ดีนัก เพราะการทำงานด้วยตัวคนเดียวมีข้อจำกัดด้านภาระงานที่สามารถรับผิดชอบได้การทำงานเป็นทีมจึงเป็นวิธีการทำงานที่ช่วยทลายข้อจำกัดในด้านของปริมาณภาระงานอันมากมายในโปรเจ็คใหญ่ๆ ซึ่งมักจะมีงานหลายประเภทและแต่ละงานก็เหมาะกับคนที่มีความถนัดแตกต่างกัน และการทำงานเป็นทีมยังช่วยพัฒนาทักษะในการบริหารความสัมพันธ์และการสื่อสาร ซึ่งต่างออกไปจากการทำงานเพียงคนเดียวอีกด้วย5.คนทำงานเก่งไม่จำเป็นต้องแสดงออกเก่งคุณเคยเจ็บใจหรือไม่เวลาเห็นคนทำงานไม่เก่งแต่มีทักษะการสื่อสารเป็นเลิศสามารถเสกงานแย่ๆ ให้กลายเป็นผลงานชิ้นโบแดงได้ทันตาเห็น การแสดงออกเป็นทักษะสำคัญที่จะช่วยให้ผู้คนเข้าใจและประทับใจในงานของคุณมากยิ่งขึ้นดังนั้นหากเป็นคนที่ทำงานเก่งแล้ว สิ่งต่อมาที่ต้องต่อยอดคือทักษะการพรีเซนต์ การแสดงออกต่อหน้าผู้คน และการสื่อสารอย่างมีคุณภาพเพื่อเป็นใบเบิกทางสู่ความสำเร็จต่างๆ ในอนาคต6.คนที่ทำงานมีประสิทธิภาพไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องมือช่วยสำหรับการทำงานในยุคโลกาภิวัฒน์ที่ทุกคนใช้เครื่องมือช่วยเหลือในการทำงานแล้ว การไม่ใช้งานเครื่องมือช่วยอาจจะลด Productivity ในการทำงานลง เพราะเครื่องมือเหล่านี้สามารถร่นระยะเวลาในการทำงานที่มีรูปแบบตายตัวหรืองานที่ต้องทำเป็นประจำลงได้เป็นอย่างมาก ซึ่งงานซ้ำๆ จำเจพวกนี้นี่แหละ ที่ทำให้คุณไม่มีเวลาในการสร้างสรรค์คุณค่าใหม่ๆ ดังนั้นหากมีเครื่องมือช่วยงานที่เหมาะสมกับลักษณะงานหรือสามารถเชื่อมโยงไอเดียที่แตกต่างของคุณกับทีมได้ ก็อย่ารีรอที่จะนำมาใช้ประโยชน์เพื่อเพิ่ม Productivity ให้กับงานของคุณเลย7.Productivity สำคัญที่สุดในการทำงานแน่นอนว่า Productivity เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้งานของคุณออกมามีประสิทธิภาพ แต่อย่างไรก็ตามการบริหารคุณภาพชีวิตให้มีความสมดุลและสามารถรักษาความสัมพันธ์ระหว่างคนรอบตัวเอาไว้ได้ก็เป็นสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันเพราะคุณภาพชีวิตที่ดี และการบริหารจัดการเวลาที่พอเหมาะจะส่งผลโดยตรงให้สุขภาพกายและสุขภาพจิตของเราดีขึ้น แน่นอนว่าสิ่งเหล่านั้นจะช่วยผลักดันคุณภาพการทำงาน ความสัมพันธ์ในองค์กร ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีต่อทั้งตัวพนักงานและองค์กรในระยะยาวอีกด้วยสรุปแนวคิดการสร้าง Productivity ในแต่ละบุคคลนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ผลิตภาพของคนในบริษัทเป็นสิ่งที่จำเป็นจะต้องถูกปูความเข้าใจตั้งแต่รากฐาน เพื่อทำให้เข้าใจภาพรวมตรงกันว่าเป้าหมายของบริษัทคืออะไร และทำอย่างไรจึงจะสำเร็จ บุคลากรแต่ละคนจึงสามารถทำตนเองให้มี Productivity ได้อย่างเหมาะสมที่สุดแน่นอนว่าเครื่องมือเองก็มีส่วนเกี่ยวข้องเช่นกัน การมีตัวช่วยที่ดีสำหรับประชุมงานและการสื่อสารภายในทีมที่มีประสิทธิภาพจะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่เพิ่ม Productivity ในบริษัทได้อย่างชัดเจน ซึ่ง True VROOM เป็นอีกหนึ่งแพลตฟอร์มที่สามารถพัฒนาประสิทธิภาพการทำงานของคุณได้มากขึ้น ตอบโจทย์การทำงานของคนรุ่นใหม่ สามารถดูรายละเอียดต่าง ๆ และทดลองใช้งานได้ฟรีที่ True VROOM
Read More
Misunderstanding-about-Productivity-05
August 4, 2022
·
Knowledge
August 4, 2022
2 mins read

7 เรื่องเข้าใจผิด! เกี่ยวกับแนวคิด Productivity

เมื่อพูดถึงการทำงานในยุคปัจจุบัน การเพิ่ม Productivity ให้กับตนเองกลายเป็นสิ่งจำเป็นที่ขาดไม่ได้ที่จะทำให้องค์กรเติบโตขึ้น แต่ยังมีคนจำนวนไม่น้อยที่เข้าใจผิดเกี่ยวกับแนวคิดดังกล่าว และนี่คือ 7 สิ่งที่มักเข้าใจผิดเกี่ยวกับการสร้าง Productivity 1.เงินเดือนเป็นสิ่งที่สะท้อน Productivity Productivity เป็นเรื่องของการบริหารจัดการต้นทุนต่างๆ ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด และแน่นอนว่าย่อมมีเรื่องเงินเดือนเข้ามาเกี่ยวข้อง ทำให้พนักงานหรือแม้แต่ผู้บริหารองค์กรบางรายมองว่าเงินเดือนเป็นสิ่งที่สะท้อน Productivity ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ถูกเสียทีเดียว เงินเดือนเป็นสิ่งที่มีการคำนวณจากปัจจัยต่างๆ มากมาย ทั้งตำแหน่งหน้าที่ ความคาดหวัง ไปจนถึงความสามารถ มีหลายกรณีที่พนักงานได้รับเงินเดือนน้อยกว่าที่ควรจะเป็นแม้ว่าจะมี Performance ที่ดี การให้เงินเดือนสูงๆ จึงเป็นหนึ่งกลยุทธ์หลักในการรักษาไว้ซึ่งพนักงานที่มีความสามารถ แต่ไม่ว่าจะทำผลงานดีหรือไม่ พนักงานก็ยังคงได้รับเงินส่วนนี้เท่าเดิมเสมอ ดังนั้นจำนวนเงินเดือนจึงไม่ใช่เครื่องสะท้อน Productivity แต่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของแรงจูงใจในการทำงานเท่านั้น 2.Multitasking คือวิธีการทำงานที่ดี หลายคนน่าจะคุ้นชินกับการ Multitasking หรือหมายถึงการทำงานหลายๆ อย่างในเวลาเดียวกัน แต่จากการศึกษาของ University of London พบว่าการทำงานแบบ Multitasking ไม่ได้มีส่วนช่วยให้คุณสามารถทำงานได้เสร็จไวขึ้น เพราะการทำงานแบบนี้ยังสร้างประสิทธิผลน้อยกว่าการจดจ่ออยู่กับการทำงานอย่างใดอย่างหนึ่ง นอกจากนี้การทำงานสลับไปมาหลายงานในเวลาเดียวกันยังมีส่วนในการทำลายความคิดสร้างสรรค์และ IQ ซึ่งเป็นขุมพลังสำคัญของการสร้าง Productivity ในการทำงานอีกด้วย Table of Contents 3.Productivity เป็นสิ่งที่วัดได้ยาก “คนนั้นทำงานเก่ง คนนี้ทำงานดี” คำพูดเหล่านี้ทำให้ Productivity หรือผลิตผลมักอยู่ในรูปของนามธรรมทำให้หลายคนคิดว่าการวัดระดับ Productivity ออกมาเป็นรูปธรรมเป็นเรื่องที่ไม่สามารถทำได้อย่างเสมอภาค เพราะแต่ละตำแหน่งงานก็มีหน้าที่ สภาวะแวดล้อมและทักษะที่ใช้ในการทำงานซึ่งแตกต่างกัน โดยในความจริงแล้ว การวัด Productivity เป็นเรื่องที่สามารถทำได้ไม่ยากด้วยมาตราฐานการวัด Productivity แบบต่างๆ ผ่านการใช้กรอบแนวคิดที่เหมาะสม ไม่ว่าจะเป็น MBO KPI หรือ OKR ก็ล้วนเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ต่อการพัฒนาทักษะในการทำงานทั้งสิ้น 4.คนเก่งต้องทำงานเองคนเดียว คนเก่งเป็นทรัพยากรบุคคลที่ทุกบริษัทต้องการ แต่การเป็นคนเก่งที่ทำงานคนเดียวเท่านั้นอาจจะไม่ใช่คำตอบที่ตอบสนองต่อแนวคิด Productivity ได้ดีนัก เพราะการทำงานด้วยตัวคนเดียวมีข้อจำกัดด้านภาระงานที่สามารถรับผิดชอบได้ การทำงานเป็นทีมจึงเป็นวิธีการทำงานที่ช่วยทลายข้อจำกัดในด้านของปริมาณภาระงานอันมากมายในโปรเจ็คใหญ่ๆ ซึ่งมักจะมีงานหลายประเภทและแต่ละงานก็เหมาะกับคนที่มีความถนัดแตกต่างกัน และการทำงานเป็นทีมยังช่วยพัฒนาทักษะในการบริหารความสัมพันธ์และการสื่อสาร ซึ่งต่างออกไปจากการทำงานเพียงคนเดียวอีกด้วย 5.คนทำงานเก่งไม่จำเป็นต้องแสดงออกเก่ง คุณเคยเจ็บใจหรือไม่เวลาเห็นคนทำงานไม่เก่งแต่มีทักษะการสื่อสารเป็นเลิศสามารถเสกงานแย่ๆ ให้กลายเป็นผลงานชิ้นโบแดงได้ทันตาเห็น การแสดงออกเป็นทักษะสำคัญที่จะช่วยให้ผู้คนเข้าใจและประทับใจในงานของคุณมากยิ่งขึ้น ดังนั้นหากเป็นคนที่ทำงานเก่งแล้ว สิ่งต่อมาที่ต้องต่อยอดคือทักษะการพรีเซนต์ การแสดงออกต่อหน้าผู้คน และการสื่อสารอย่างมีคุณภาพเพื่อเป็นใบเบิกทางสู่ความสำเร็จต่างๆ ในอนาคต 6.คนที่ทำงานมีประสิทธิภาพไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องมือช่วย สำหรับการทำงานในยุคโลกาภิวัฒน์ที่ทุกคนใช้เครื่องมือช่วยเหลือในการทำงานแล้ว การไม่ใช้งานเครื่องมือช่วยอาจจะลด Productivity ในการทำงานลง เพราะเครื่องมือเหล่านี้สามารถร่นระยะเวลาในการทำงานที่มีรูปแบบตายตัวหรืองานที่ต้องทำเป็นประจำลงได้เป็นอย่างมาก ซึ่งงานซ้ำๆ จำเจพวกนี้นี่แหละ ที่ทำให้คุณไม่มีเวลาในการสร้างสรรค์คุณค่าใหม่ๆ ดังนั้นหากมีเครื่องมือช่วยงานที่เหมาะสมกับลักษณะงานหรือสามารถเชื่อมโยงไอเดียที่แตกต่างของคุณกับทีมได้ ก็อย่ารีรอที่จะนำมาใช้ประโยชน์เพื่อเพิ่ม Productivity ให้กับงานของคุณเลย 7.Productivity สำคัญที่สุดในการทำงาน แน่นอนว่า Productivity เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้งานของคุณออกมามีประสิทธิภาพ แต่อย่างไรก็ตามการบริหารคุณภาพชีวิตให้มีความสมดุลและสามารถรักษาความสัมพันธ์ระหว่างคนรอบตัวเอาไว้ได้ก็เป็นสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กัน เพราะคุณภาพชีวิตที่ดี และการบริหารจัดการเวลาที่พอเหมาะจะส่งผลโดยตรงให้สุขภาพกายและสุขภาพจิตของเราดีขึ้น แน่นอนว่าสิ่งเหล่านั้นจะช่วยผลักดันคุณภาพการทำงาน ความสัมพันธ์ในองค์กร ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีต่อทั้งตัวพนักงานและองค์กรในระยะยาวอีกด้วย สรุป แนวคิดการสร้าง Productivity ในแต่ละบุคคลนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ผลิตภาพของคนในบริษัทเป็นสิ่งที่จำเป็นจะต้องถูกปูความเข้าใจตั้งแต่รากฐาน เพื่อทำให้เข้าใจภาพรวมตรงกันว่าเป้าหมายของบริษัทคืออะไร และทำอย่างไรจึงจะสำเร็จ บุคลากรแต่ละคนจึงสามารถทำตนเองให้มี Productivity ได้อย่างเหมาะสมที่สุด แน่นอนว่าเครื่องมือเองก็มีส่วนเกี่ยวข้องเช่นกัน การมีตัวช่วยที่ดีสำหรับประชุมงานและการสื่อสารภายในทีมที่มีประสิทธิภาพจะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่เพิ่ม Productivity ในบริษัทได้อย่างชัดเจน ซึ่ง True VROOM เป็นอีกหนึ่งแพลตฟอร์มที่สามารถพัฒนาประสิทธิภาพการทำงานของคุณได้มากขึ้น ตอบโจทย์การทำงานของคนรุ่นใหม่ สามารถดูรายละเอียดต่าง ๆ และทดลองใช้งานได้ฟรีที่ True VROOM
Read More
August 4, 2022
·
Knowledge
August 4, 2022
< 1 min read

7 วิธีสร้าง Culture ให้ทีมแฮปปี้ ด้วยแนวคิด “Happy Workplace”

ไม่ว่าจะทำงานที่ไหน Happy Workplace คือสิ่งที่ทุกคนต้องการ นอกจากจะช่วยคุณทำงานได้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ยังสามารถรักษาคนในทีมให้อยากทำงานกับเราไปนาน ๆ ได้อีกด้วย หากคุณเป็นคนหนึ่งที่อยากทำให้คนในทีมมีความสุข ลองทำตามวิธีนี้ดูสิ อาจได้ผลลัพธ์ที่ใช่ก็ได้! Table of Contents 1. เลือกจ้างคนที่อัธยาศัยดี เข้ากับคนในองค์กรได้สิ่งที่จะส่งเสริม Happy Workplace ให้คงที่ได้อย่างยาวนาน คือ การเลือกจ้างคนที่อัธยาศัยดีและเข้ากับคนในองค์กรได้ตั้งแต่แรก แต่ก็ต้องไม่มองข้ามความสามารถในการทำงานด้วย ในทางกลับกันหากเลือกจ้างคนที่เก่งที่สุดแต่ไม่สามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ ไม่หัวเราะหรือไม่มีท่าทีโต้ตอบที่เป็นมิตร ก็อาจสร้างบรรยากาศที่ไม่ดีให้กับคนในองค์กรถึงขั้นทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานลดลงได้เลย2. กระตุ้นให้คนในทีมพูดคุยหรือทักทายกันการทักทายกันเป็นจุดเริ่มต้นของบทสนทนาอื่น ๆ ที่ช่วยสร้างความสนิทสนมได้ดียิ่งขึ้น และยังทำให้บรรยากาศในวันถัด ๆ ไปเป็นกันเองและผ่อนคลายมากขึ้น ซึ่งส่งผลให้คนในทีมแฮปปี้กับการทำงาน ลองนึกภาพเวลาเราได้อยู่กับเพื่อนร่วมงานที่สนิทสนมและคุ้นเคยกันจะมีความสุขขนาดไหน 3. อย่าทำงาน 40+ ชั่วโมงทั้งสัปดาห์ ชวนกันทำกิจกรรมบ้างลองนึกภาพคนในทีมของคุณนั่งทำงานอย่างเดียววันละ 8 ชั่วโมงติดต่อกัน 5 วัน คงรู้สึกเครียดไม่น้อยเลยใช่ไหมล่ะ เพราะฉะนั้น ควรสร้าง Happy Workplace ด้วยการชวนกันทำกิจกรรมผ่อนคลายบ้าง จะเป็นการเล่นเกม ดูหนัง หรือสั่งอาหารมาทานด้วยกันก็ได้ เพียงแบ่งเวลาให้กับสิ่งเหล่านี้ไม่กี่ชั่วโมงในหนึ่งสัปดาห์ อาจช่วยให้พวกเขามีความสุขและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นอีกด้วย4. แสดงออกว่าเราใส่ใจคนในทีมมากแค่ไหนEmpathy คือ ปัจจัยสำคัญในการทำให้เกิด Happy Workplace จะรู้สึกดีแค่ไหนหากมีคนคอยเอาใจใส่และเข้าใจคุณเสมอไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น คนในทีมของคุณก็ต้องการสิ่งนั้นเช่นกัน เพราะฉะนั้น คอยหมั่นถามเรื่องราวต่าง ๆ กับพวกเขาว่า วันนี้เป็นยังไงบ้าง สบายดีไหม ทานข้าวหรือยัง งานติดปัญหาอะไรหรือเปล่า อยากให้ช่วยตรงไหนไหม หากมีปัญหาก็เข้าไปให้ความช่วยเหลือ จะช่วยให้เขารับรู้ถึงความใส่ใจที่เรามีให้ได้และทำงานได้อย่างมีความสุข5. ส่งเสริมให้พวกเขาคิดถึงเป้าหมาย ไม่ต้องคิดเรื่องงานตลอดเวลาเคล็ดลับหนึ่งที่ช่วยสร้างความสุขในการทำงาน คือ การส่งเสริมให้คนในทีมคิดถึงเป้าหมายของตัวเอง ไม่จำเป็นต้องคิดถึงงานที่อยู่ตรงหน้าตลอดเวลา เพราะบางครั้งงานก็อาจทำให้พวกเขารู้สึกท้อถอยและห่อเหี่ยวได้ หากพวกเขาสามารถค้นเจอเป้าหมาย เราก็ควรที่จะสนับสนุนเขาให้ทำได้สำเร็จ 6. ให้ความสำคัญกับข้อดี พร้อมช่วยแก้ไขข้อด้อยทุกคนมีทั้งข้อดีและข้อด้อย แต่ถ้าจะส่งเสริม Happy Workplace คุณควรให้ความสำคัญกับข้อดีด้วยการชื่นชมพวกเขาเมื่อทำงานดี และหยุดพูดคำว่า “แต่” ต่อท้าย เช่น “ทำดีนะ แต่ว่า…” ทางที่ดีควรเป็นการให้คำแนะนำจะดีกว่า เช่น “ทำดีมาก ๆ เพิ่มส่วนนี้อีกนิดนึงนะจะเพอร์เฟกต์เลย” ดูคล้ายกันแต่ให้ความรู้สึกต่างกันอย่างสิ้นเชิง7. ให้รางวัลเป็นการตอบแทนการทำงานอย่างเหมาะสมรางวัลมักเป็นสิ่งที่ทำให้คนแสดงความสุขออกมาได้เห็นชัดที่สุด เมื่อพวกเขาทำงานแล้วผลตอบรับออกมาดี คุณก็ควรที่จะให้รางวัลเป็นการตอบแทน จะเป็นการให้ของขวัญ การเลื่อนตำแหน่ง การเพิ่มเงินเดือน หรือการแจกโบนัสก็ได้ สิ่งเหล่านี้ช่วยสร้าง Happy Workplace ได้อย่างดีเลยล่ะสรุปลองสร้าง Happy Workplace ด้วยการเลือกคนที่อัธยาศัยดี กระตุ้นให้เกิดการพูดคุยกัน หากิจกรรมผ่อนคลายระหว่างทำงาน วิธีนี้อาจช่วยคนในทีมของคุณอาจมีความสุขมากขึ้นก็ได้ แต่ถ้าอยากให้พวกเขามีความสุขมากขึ้นไปอีก เราต้องไม่ลืมที่จะแสดงความใส่ใจ ความเข้าใจ และส่งเสริมให้พวกเขาคิดถึงเป้าหมายของตัวเองอยู่เสมอ รวมถึงหมั่นชมเวลาเขาทำงานดีและช่วยพัฒนาข้อด้อยไปพร้อม ๆ กันที่สำคัญ คือ ควรให้รางวัลเป็นการตอบแทนเพื่อเป็นขวัญและกำลังใจในการทำงาน ยิ่งไปกว่านั้น ต้องสอบถามและฟังความคิดเห็นของพวกเขาด้วย เพื่อที่จะได้ตอบสนองความต้องการของพวกเขาได้อย่างตรงจุดแทนที่จะคิดเองคนเดียวว่าพวกเขาต้องการอะไร
Read More
August 4, 2022
·
Knowledge
August 4, 2022
2 mins read

Work-Life Balance ทำได้จริงไหม แบบไหนจึงจะเหมาะสม?

จุดสมดุลระหว่างการทำงานกับการใช้ชีวิต หรือ Work-Life Balance ได้กลายเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญสำหรับคนรุ่นใหม่ที่ต้องการจัดสรรเวลาการทำงานแบบมีคุณภาพ ในขณะเดียวกันก็ต้องการเวลาพักผ่อนที่เพียงพอเช่นกันแต่การทำงานที่มีความสมดุลเช่นนี้จะสามารถทำได้จริงหรือไม่ และแนวคิด Work-Life Balance จะส่งผลกระทบอย่างไรกับรูปแบบการทำงานในอนาคต บทความนี้มีคำตอบให้กับคุณWork-Life Balance เมื่อ “งาน” ต้องผสานกับ “ชีวิต”จุดเริ่มต้นของการตามหา Work-Life Balance ของคนจำนวนมากเกิดจากการค้นพบว่างานของตัวเองนั้น “เยอะเกินไป” จนไม่สามารถจัดสรรเวลาไปทำสิ่งอื่นได้ ซึ่งส่งกระทบโดยตรงต่อความเครียด ความสามารถในการทำงาน จนนำไปสู่การตัดสินใจลาออกของพนักงานผลสำรวจช่วงปี 2015 พบว่าคนไทยทำงานเฉลี่ย 50.9 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ย 48 ชั่วโมงของคนทั่วโลก และตัวเลขดังกล่าวก็นับว่าสูงเป็นลำดับต้น ๆ ของเอเชียอีกด้วยแต่วัฒนธรรมการทำงานหนักนี้กำลังถูกท้าทาย เมื่อบริษัท Microsoft ประเทศญี่ปุ่นได้ทดลองให้พนักงานทำงานเพียง 4 วันต่อสัปดาห์ และไม่สนับสนุนให้ทำงานล่วงเวลา ผลปรากฎว่าพนักงานมีประสิทธิภาพการทำงานเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญนั่นเป็นข้อพิสูจน์ได้ว่าการทำงานหนักอาจไม่ตอบโจทย์อีกต่อไป และชีวิตแบบ Work-Life Balance สามารถทำได้หากมีการจัดสรรเวลาที่ดีพอ Table of Contents หนทางสู่การสร้าง Work-Life Balanceแม้ Work-Life Balance จะสามารถทำได้จริง แต่สิ่งที่ทุกคนควรคำนึงเป็นอย่างยิ่งคือความสมดุลระหว่างการทำงานกับการใช้ชีวิตของแต่ละคนนั้นไม่เท่ากัน ดังนั้นผู้ที่จะกำหนดความพอดีระหว่างสองสิ่งนี้ได้ก็คือตัวของคุณเอง ซึ่งคุณสามารถเริ่มต้นหาจุดสมดุลของชีวิตได้ด้วยวิธีการดังนี้1. ตั้งข้อสังเกตในการใช้ชีวิตก่อนเริ่มต้นสร้าง Work-Life Balance ให้ตนเอง อาจลองตั้งข้อสังเกตตามด้วยคำถามว่า คุณมีความสุขในการทำงานปัจจุบันไหม มีเวลาพักผ่อนเพียงพอหรือไม่ คุณภาพชีวิตและการทำงานของคุณเป็นอย่างไรบ้าง หากคุณพบว่าตนเองพอใจกับการใช้ชีวิตในปัจจุบัน และการทำงานไม่ได้ส่งผลเสียต่อการใช้ชีวิตจนเกินไป การตามหา Work-Life Balance อาจไม่ได้จำเป็นมากนักแต่ถ้าคุณพบว่าตนเองมีสภาพแย่ลงจากการทำงาน ไม่ว่าจะร่างกาย จิตใจ หรือมีอาการ Burnout เป็นระยะ ๆ การปรับเปลี่ยนตัวเองเข้าสู่จุดสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงานจะเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่ง2. หาจุดสมดุลของชีวิตและการทำงานไม่มีสิ่งใดในโลกที่ Perfect การ Work-Life Balance ก็เช่นกัน ไม่มีงานไหนที่สบายไปตลอด และไม่ควรมีงานไหนที่หนักจนทำลายชีวิต หลังจากการตั้งข้อสังเกตคุณควรมองหาจุดสมดุลระหว่างการทำงานในปัจจุบันของตนเอง เช่น การทำงาน 9 ชั่วโมง ต่อวันอาจมากเกินไป ลองปรับจุดสมดุลอยู่ที่ 8 ชั่วโมงอาจเหมาะสมกว่าหรือไม่ 3. วางแผนสร้าง Work-Life Balanceเมื่อคุณพบจุดสมดุลของการใช้ชีวิตและการทำงาน สิ่งต่อมาที่ต้องทำคือการวางแผนเพื่อสร้าง Work-Life Balance เป็นของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นการมองหางานที่ชอบ และมีชั่วโมงการทำงานตอบโจทย์ของคุณ วางแผนในการหยุดยาวเพื่อชาร์จพลัง รวมถึงสิ่งสำคัญที่สุดคือ “การขีดเส้นแบ่งระหว่างเวลาการทำงานกับการใช้ชีวิต”4. พยายามปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตการเปลี่ยนแปลงนั้นยากเสมอ โดยเฉพาะกับคนที่มีข้อจำกัดในด้านต่างๆ แต่สุดท้ายแล้วคุณก็จำเป็นต้องพัฒนาคุณภาพชีวิต ด้วยการวางแผนจัดสรร Work-Life Balance ของตัวเอง ซึ่งอาจเริ่มต้นได้ง่ายๆ ด้วยการใช้เวลาพักผ่อนในวันหยุดให้เต็มที่ ไม่ตอบอีเมลนอกเวลางาน หาเวลาออกกำลังกาย และให้ความสำคัญกับสุขภาพตัวเองเป็นหลัก รวมถึงหางานใหม่ที่ตอบโจทย์สมดุลชีวิตของตนเอง5. ตรวจสอบตัวเองอีกรอบ“มีเพียงคุณเท่านั้นที่กำหนด Work-Life Balance ของตนเองได้” หลังจากการเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆ ที่ผ่านมาคุณอาจลองตั้งคำถามกับตัวเองอีกรอบว่าการเปลี่ยนแปลงที่ผ่านมาของเราตอบโจทย์หรือยัง มีอะไรที่สามารถพัฒนา ปรับเปลี่ยนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้การใช้ชีวิตและการทำงานไปในเวลาเดียวกันได้บ้าง ถ้าคุณยังไม่พอใจ ก็ไม่ใช่เรื่องผิดอะไรที่จะลองตามหาหนทางใหม่ ๆ เพื่อทำให้การ Work-Life Balance เหมาะสมกับตัวคุณมากที่สุด สรุปWork-Life Balance เป็นสิ่งที่สามารถทำได้จริง และคุณเองก็สามารถทำได้ด้วย 5 ขั้นตอนที่ได้ระบุไว้ ตั้งแต่การสังเกตตัวเอง หาจุดสมดุล วางแผน ปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต และกลับมาย้อนมองตนเองอีกรอบ ซึ่งแน่นอนว่าความสมดุลของแต่ละคนนั้นแตกต่างกัน คุณควรเลือกวิถีชีวิตที่เหมาะสมกับตนเองมากที่สุด ไม่จำเป็นต้องเลียนแบบวิถีชีวิตของคนอื่น ๆ แต่อย่างใดหนึ่งในตัวช่วยสำคัญที่สามารถทำให้การทำงานของคุณมี Work-Life Balance ดีขึ้นได้ คือ การสื่อสารที่มีคุณภาพ ตอบโจทย์การทำงานของคนรุ่นใหม่ ซึ่ง True VROOM เป็นอีกหนึ่งแพลตฟอร์มที่สามารถพัฒนาประสิทธิภาพการทำงานของคุณได้มากขึ้น สามารถดูรายละเอียดต่าง ๆ และทดลองใช้งานได้ฟรีที่ True VROOM
Read More
should-company-continue-to-work-from-home-thumbnail
August 4, 2022
·
Trends
August 4, 2022
2 mins read

บริษัทควร Work from Home ต่อหรือไม่ในยุคหลัง Covid-19?

หลังสถานการณ์ของ Covid-19 เริ่มบรรเทาลง หลายบริษัทเริ่มให้พนักงานกลับไปทำงานที่ออฟฟิศ บ้างก็ยังคง Work from Home กันอย่างต่อเนื่อง จนเกิดเป็นคำถามว่าบริษัทควรให้พนักงาน Work from Home ต่อหรือไม่หากสถานการณ์ดีขึ้นแล้ว ADP Research Institute สถาบันวิจัยด้านตลาดแรงงานได้เปิดรายงาน People at Work 2022: A Global Workforce View ซึ่งเป็นการสำรวจความคิดเห็นของพนักงานกว่า 32,000 คน รวม 17 ประเทศ พบว่า 64% บอกว่าอาจย้ายงานถ้าต้องเข้าออฟฟิศทุกวัน นอกจากนี้ ยังมีผลสำรวจอีกว่า 80% ของพนักงานต้องการ Work from Home บ้างในบางครั้ง และมากกว่า 1 ใน 3 ยอมให้ลดค่าจ้างเพื่อแลกกับการได้ทำงานที่บ้าน “ยิ่ง Work from Home นานขึ้น คนยิ่งยอมรับการทำงานรูปแบบนี้มากขึ้น” อย่างไรก็ตาม บริษัทจะเลือกว่าควร Work from Home ต่อหรือไม่ คุณต้องดูเหตุผลว่าทำไมถึงควรและไม่ควร และเปรียบเทียบดูว่าแบบไหนดีกว่ากันทั้งต่อบริษัทและพนักงานด้วย Table of Contents เหตุผลที่บริษัทควร Work from Home ต่อ เมื่อพนักงานแสดงความต้องการว่าอยาก Work from Home ต่อไป นั่นหมายความว่าการ Work from Home มีข้อดีหลายอย่างที่ส่งผลในแง่บวกต่อการใช้ชีวิต ได้แก่ 1. ช่วยให้ทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น จากการการสำรวจของ FlexJobs พบว่าผู้ตอบแบบสอบถาม 65% รู้สึกว่าการ Work from Home สามารถทำงานได้มีประสิทธิภาพมากกว่าเมื่อเทียบกับการทำงานรูปแบบเดิม เนื่องจากมีข้อดีในหลาย ๆ ด้าน โดยเฉพาะความยืดหยุ่นในการทำงาน 2. ช่วยลดความเครียดจากการเดินทาง ความเครียดจากปัญหาฝนตก รถติด น้ำท่วมกะทันหัน รวมถึงความรู้สึกถูกเบียดแน่นบนรถไฟฟ้าที่ต้องหายใจรดต้นคอกันอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตของพนักงาน รวมถึงกระทบต่อรายได้ที่ปัญหาดังกล่าวอาจทำให้ไปทำงานสายจนถูกหักเงินเดือน ซึ่งการ Work from Home ทำให้ปัญหาดังกล่าวลดลงได้จริง ๆ และยังส่งผลให้สุขภาพจิตของบรรดาพนักงานดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ 3. ประหยัดค่าใช้จ่ายทั้งของบริษัทและพนักงาน เมื่อไม่ได้เดินทางไปออฟฟิศก็จะประหยัดค่าเดินทาง รวมถึงค่าอาหารที่อาจถูกลงเพราะสามารถทำทานเองได้ที่บ้าน ซึ่งสามารถทานได้หลายมื้อหลายคนอีกด้วย อีกทั้งบริษัทเองก็ได้ประหยัดค่าสาธารณูปโภค ค่าเช่าออฟฟิศ และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องมากขึ้น 4. สื่อสารกันได้ง่ายกว่าช่วงแรก ๆ ช่วงที่ Work from Home ใหม่ ๆ มักจะติดขัดหลายอย่าง แถมไม่ได้เจอหน้าและพูดคุยกับเพื่อนร่วมงานน้อยลงจนพนักงานบางคนโอดโอยว่าขอกลับไปทำงานที่ออฟฟิศ แต่หลังจากคนก็เริ่มคุ้นชินมากขึ้น และเทคโนโลยีที่ใช้ในการสื่อสารอัปเดตฟีเจอร์ที่ตอบโจทย์การทำงานที่บ้านมากขึ้น กลายเป็นว่าคนเริ่มสนุกกับการใช้งานและรู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องไปออฟฟิศก็สามารถสื่อสารกันได้อย่างราบรื่น 5. ช่วยเพิ่มความพึงพอใจของพนักงาน ผู้ตอบแบบสอบถาม 76% กล่าวว่าอยากทำงานกับนายจ้างคนเดิมมากขึ้นหากมีทางเลือกในการทำงานที่ยืดหยุ่น นั่นแสดงว่า Work from Home หรือ Work From Anywhere สร้างความพึงพอใจให้กับพนักงานได้ และยังทำให้พวกเขาอยากทำงานกับเราไปนาน ๆ ด้วย เหตุผลที่บริษัทไม่ควร Work from Home แม้ Work from Home จะมีข้อดี แต่อาจเป็นข้อเสียสำหรับบางคนด้วยเหตุผลหลาย ๆ อย่าง ได้แก่ 1. ประสิทธิภาพของงานลดลง เนื่องจากสภาพแวดล้อมไม่เหมาะสม สภาพแวดล้อมที่เสียงดัง อากาศที่ร้อนอบอ้าว อุปกรณ์และข้าวของเครื่องใช้ต่าง ๆ ที่ไม่เอื้ออำนวย เช่น โต๊ะ เก้าอี้ รวมถึงอินเทอร์เน็ต อาจทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานลดลงได้ บางคนถึงขั้นไม่สามารถทำงานในเวลางานปกติได้จนต้องหอบงานมาทำกลางดึก ซึ่งอาจทำให้สูญเสีย Work Life Balance แทนที่จะทำงานได้ดีขึ้น 2. สื่อสารผิดพลาดบ่อย ใช้เวลาพูดคุยกันนานขึ้น ต้องยอมรับว่าการพูดคุยโดยไม่ได้เจอหน้ากันอาจทำให้การสื่อสารผิดพลาดบ่อย ส่งผลให้งานที่ทำผิดพลาดตามไปด้วย เท่านั้นยังไม่พอ การ Work from Home อาจทำให้พนักงานต้องใช้เวลาในการพูดคุยกันนานขึ้นเพื่อทำความเข้าใจให้ตรงกัน ซึ่งอาจกินเวลางานหลักจนทำให้งานนั้น ๆ ล่าช้า เสร็จไม่ตรงตามไทม์ไลน์ 3. พลาดโอกาสในการทำงานร่วมกัน การที่พนักงานไม่ได้ทำงานร่วมกันนอกจากจะทำให้ความสนิทสนมน้อยลง ยังลดโอกาสในการเรียนรู้งานของเพื่อนร่วมทีมด้วย หรือต่อให้สามารถเรียนรู้ได้แต่ก็ไม่เต็มประสิทธิภาพเท่าไรนัก นอกจากนี้ เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นก็อาจช่วยเหลือได้ยาก เพราะบางงานแก้ปัญหาได้ไม่สะดวกเมื่อต้อง Work from Home 4. พนักงานต้องแบกรับค่าใช้จ่ายด้านสาธารณูปโภคเพิ่มขึ้น ปัญหาที่ตามมาของ Work from Home คือค่าน้ำ ค่าไฟ และค่าอินเทอร์เน็ตที่จำเป็นต้องจ่ายเพิ่ม บางคนคิดว่าเป็นการนำเงินค่าเดินทางมาจ่ายแทนค่าเหล่านี้ แต่สุดท้ายกลับแพงกว่าที่คิดเอาไว้ ยังไม่รวมค่าอุปกรณ์สำนักงานอย่างโต๊ะและเก้าอี้ที่ต้องซื้อใหม่อีก นี่จึงเป็นอีกปัญหาหนึ่งที่ส่งผลต่อสุขภาพจิตของพนักงานที่อาจส่งผลต่อคุณภาพของงานด้วยเช่นกัน 5. เกิดอคติระหว่างพนักงาน เพราะรู้สึกว่า Work from Home แล้วทำงานไม่เท่ากัน ความยืดหยุ่นเป็นข้อดีของ Work from Home แต่อาจมีช่องโหว่ที่ทำให้พนักงานบางส่วนเกิดความสงสัยว่าเพื่อนคนอื่นทำงานหรือไม่ ซึ่งอาจเกิดจากการจัดสรรงานและมีช่วงเวลาในการทำงานที่แตกต่างกัน ทำให้เกิดโอกาสเข้าใจผิดได้ง่ายขึ้น ทางออกสำหรับบริษัทในยุคปัจจุบันเมื่อรูปแบบการทำงานเปลี่ยนไป 1. ทำความเข้าใจธรรมชาติของพนักงานมากขึ้น องค์กรจำเป็นต้องรู้ว่าพนักงานของตนเองเป็นอย่างไรเพื่อที่จะตอบสนองความต้องการได้อย่างตรงจุด...
Read More
True VWORLD-Hybrid Work 02
August 4, 2022
·
Trends
August 4, 2022
2 mins read

รู้จัก Hybrid Working รูปแบบการทำงานหลังยุค COVID

การทำงานจากบ้าน (Work from Home) และการทำงานจากที่ไหนก็ได้ (Work from Anywhere) กลายเป็นเทรนด์สำคัญในยุคปัจจุบันจากภาวะโรคระบาด COVID-19 และแม้ว่าสถานการณ์โรคภัยดังกล่าวจะเริ่มดีขึ้นบ้างแต่การทำงานโดยไม่ต้องเข้าบริษัทกลับยังคงความนิยมอยู่ และนำมาซึ่งเทรนด์ใหม่ที่เป็นการผสมผสานการทำงานหลากหลายรูปแบบอย่าง Hybrid Working Hybrid Working ความลงตัวของการทำงานสมัยใหม่  Hybrid Working คือ รูปแบบการทำงานที่ผสมผสานกันระหว่างการไปบริษัทแบบดั้งเดิม กับการทำงานจากที่ไหนก็ได้ ทำให้เกิดความยืดหยุ่นในการทำงานที่มากขึ้น แต่ยังคงการทำงานในรูปแบบองค์กรที่ค่อนข้างเหนียวแน่นเอาไว้ โดยการทำงานแบบ Hybrid Working ของแต่ละองค์กรจะมีความแตกต่างกันออกไปตามนโยบายของผู้บริหาร บางบริษัทมีการจัดกลุ่มพนักงานเพื่อแบ่งแยกชัดเจนระหว่างพนักงานที่ต้องทำงานในออฟฟิศ 100% และพนักงานที่สามารถทำงานแบบ Hybrid Working ได้ ส่วนบางบริษัทที่มีความยืดหยุ่นสูง ก็อาจปล่อยพนักงานทำงานของตนเองโดยไม่ควบคุมอะไรเลย ใช้แค่การประชุมอัปเดตงานช่วงต้น-ปลายสัปดาห์เท่านั้น Table of Contents กระแสการทำงาน Hybrid Working ในช่วงที่ผ่านมา เหตุผลที่การทำงานแบบ Hybrid Working ยังได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ แม้ว่าสถานการณ์ Covid-19 จะเริ่มดีขึ้นแล้ว เป็นผลมาจากหลายปัจจัยประกอบกัน ได้แก่ พนักงานส่วนมากพอใจที่ได้รับอิสระในการเลือกสถานที่ทำงาน พนักงานไม่ต้องเผชิญกับสภาวะการจราจรติดขัดในทุก ๆ วัน เครื่องมือสำหรับ Remote Work มีคุณภาพมากขึ้นในราคาที่เหมาะสม ซึ่งบริษัทใหญ่ระดับโลกอย่าง Google, Facebook และ Microsoft ต่างก็มีนโยบาย Hybrid Working ด้วยกันแทบทั้งสิ้น และกระแสการทำงานรูปแบบดังกล่าวก็ยังกระจายไปในหลาย ๆ ประเทศอีกด้วย ซึ่งจากผลสำรวจของ intuition.com พบว่า 83% ของพนักงานที่ตอบแบบสอบถามต้องการทำงานแบบ Hybrid Working สำหรับทีมงาน True VWORLD ก็มีการทำงานในรูปแบบของ Hybrid Working อย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงที่ Covid-19 ระบาดระลอกแรกจวบจนปัจจุบัน โดยผสมผสานความอิสระให้คนในทีมสามารถทำงานจากบ้าน หรือที่ไหน ๆ ก็ได้ผ่านแพลตฟอร์ม True VWORK รวมกับการสานสัมพันธ์ในองค์กรเพื่อเพิ่มความมีชีวิตชีวา ทั้งในรูปแบบการนัดเข้าออฟฟิศสัปดาห์ละวันเพื่อพบปะกันตามความต้องการของคนในทีม การเช็คอิน และทำ 1-1 Session เพื่อติดตามอัปเดตชีวิตผ่าน True VROOM ทำให้การทำงานยังคงมีประสิทธิภาพ และพนักงานมีความสุขในการทำงานไปในเวลาเดียวกัน ข้อดีของการทำงานแบบ Hybrid Working 1. มีความยืดหยุ่นในการทำงาน ความโดดเด่นของ Hybrid Working คือการที่พนักงานได้รับอิสระในการทำงานมากยิ่งขึ้น หลายคนสามารถทำงานจากบ้านตนเอง สถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ หรือแม้แต่ต่างประเทศได้ ภายใต้ข้อตกลงที่กำหนดไว้ของบริษัท ทำให้พนักงานเกิดความผ่อนคลายมากขึ้น 2. ดึงดูดบุคลากรจากหลากหลายพื้นที่ Hybrid Working ยังมีส่วนช่วยอย่างมากในเรื่องการสรรหาบุคลากร เพราะเปิดโอกาสและดึงดูดให้บุคลากรที่มีศักยภาพแต่อยู่ไกลบริษัทสนใจสมัครเข้าร่วมงานโดยไม่จำเป็นต้องเดินทางเข้าออฟฟิศ ทำให้บริษัทมีโอกาสได้บุคลากรคุณภาพจากหลากหลายพื้นที่มากขึ้น 3. ลดค่าใช้จ่ายขององค์กรในระยะยาว การทำงานแบบ Hybrid Working ช่วยลดค่าใช้จ่ายโดยรวมของบริษัทอย่างมาก ทั้งค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับสาธารณูปโภคภายในออฟฟิศ ขนาดของออฟฟิศ ทำให้มีโอกาสนำเงินส่วนนี้ไปพัฒนาองค์กรในด้านอื่น ๆ มากยิ่งขึ้น ความท้าทายของการทำงานแบบ Hybrid Working 1. การทำงานบางส่วนอาจมีความยุ่งยากมากขึ้น ปฏิเสธไม่ได้ว่าการทำงานแบบ Hybrid Working อาจนำพาความยุ่งยากบางอย่างให้กับบริษัท ทั้งจากความไม่คุ้นชินทางเทคโนโลยีของพนักงาน การอัปเกรดซอฟต์แวร์ และฮาร์ดแวร์เพื่อรองรับการทำงานที่บ้าน การเก็บข้อมูลเป็นเอกสาร การทำงานกับเครื่องจักรขนาดใหญ่ ไปจนถึงการพูดคุยกับลูกค้า ซึ่งในปัจจุบันได้มีการใช้งานเทคโนโลยีต่าง ๆ เพื่อช่วยแก้ไขปัญหาดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็นการใช้งาน Cloud Computing เพื่อเก็บและประมวลผลข้อมูล การใช้ IoT ร่วมกับเครื่องจักรในโรงงานขนาดใหญ่ และการใช้ระบบ CRM (Customer Relationship Management) ในการจัดการความสัมพันธ์ลูกค้า เพื่อให้การทำงานแบบ Hybrid Working ดียิ่งขึ้นไปอีก 2. ประสิทธิภาพการสื่อสารที่อาจไม่เทียบเท่าเก่า การสื่อสารคือองค์ประกอบหลักสำหรับการทำงานทุกยุคสมัย การทำงานในออฟฟิศเดียวกันจะทำให้พนักงานแต่ละแผนกต่างไปมาหาสู่ มีปฏิสัมพันธ์กันมากขึ้น หากมีปัญหาอะไรก็สามารถไถ่ถามกันได้ง่าย ๆ แต่การทำงานแบบ Hybrid Working อาจทำให้การสื่อสารอย่างใกล้ชิดสนิทสนมเป็นไปได้ยากขึ้น โดยเฉพาะพนักงานใหม่ที่ยังไม่รู้จักกันดี 3. วัฒนธรรมองค์กรแบบเก่ากำลังถูกท้าทาย “ทำงานต้องไปออฟฟิศ” เปรียบเสมือนภาพจำของพนักงานยุคก่อน Covid วัฒนธรรมองค์กร และแนวทางการบริหารจัดการบุคคลส่วนใหญ่จึงมีแนวโน้มที่จะตอบสนอง “พนักงานที่อยู่ออฟฟิศ” เป็นหลัก การทำงานแบบ Hybrid Working จึงกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เหล่าผู้บริหารต้องคิดเผื่อ “พนักงานที่ไม่ได้เข้าออฟฟิศ” มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบการติดต่อสื่อสาร ผลประโยชน์ตอบแทนของพนักงาน และนโยบายการทำงานร่วมกับทีม สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นโจทย์สำคัญที่ผู้บริหารองค์กรทั้งใหญ่ และเล็กจำเป็นต้องทำการบ้านอย่างเข้มข้น เพื่อให้กระบวนการทำงานทั้งหมดมีประสิทธิภาพที่สุด เทคโนโลยีเพื่อการทำงานแบบ Hybrid Working เทคโนโลยีด้านการจัดการบุคลากร เช่น การใช้แพลตฟอร์มออนไลน์ในการดูแลพนักงาน บริหารจัดการวันลา รวมถึงจัดการผลตอบแทนต่าง ๆ เทคโนโลยีด้านเอกสาร เช่น การใช้งานเอกสารออนไลน์แทนเอกสารที่เป็นกระดาษ การทำงานบน Cloud แทนการพิมพ์เอกสารลงในคอมพิวเตอร์ปกติ เทคโนโลยีด้านการสื่อสาร เช่น การใช้แพลตฟอร์มออนไลน์อย่าง Google Meet, True VWORK และTrue VROOM ในการสื่อสารและการส่งข้อมูล สรุป Hybrid Working กลายเป็นอีกหนึ่งเทรนด์สำคัญสำหรับการทำงานในไทย ซึ่งผู้บริหารและพนักงานของทุกบริษัทจำเป็นต้องเรียนรู้และปรับตัวเพื่อการเติบโตอย่างมั่นคงในอนาคต นอกจากนั้นยังจำเป็นต้องมีแพลตฟอร์มที่มีคุณภาพ สามารถตอบสนองการทำงานยุคใหม่ได้ดี True VWORLD...
Read More
Previous 1 2 3 4 5 Next

Stay up to date with the latest news and updates from
True VWORLD

  • 0-2700-8011

Monday – Sunday

8:00 a.m. to 6:00 p.m.

Products

VROOM

VWORK

VLEARN

  • VCLASS
  • VCOURSE

Solutions

Individual

Enterprise

Education

Government

Tutorials

Tutorials - VROOM

Tutorials - VWORK

Tutorials - VLEARN

Products

VROOM

VWORK

VLEARN

  • VCLASS
  • VCOURSE
Solutions

Individual

Enterprise

Education

Government

FAQs

Pricing

Articles

About us

Contact us

  • English
    • Thai

All Rights Reserved © True VWORLD.

Privacy Policy

Terms & Condition

VROOM
VWORK
VLEARN

All Rights Reserved © True VWorld.

  • English
    • Thai
We use cookies on our website. By clicking “Accept All”, you consent to the use of all the cookies.
Cookie SettingsAccept All
Manage consent

Privacy Overview

This website uses cookies to improve your experience while you navigate through the website. Out of these, the cookies that are categorized as necessary are stored on your browser as they are essential for the working of basic functionalities of the website. We also use third-party cookies that help us analyze and understand how you use this website. These cookies will be stored in your browser only with your consent. You also have the option to opt-out of these cookies. But opting out of some of these cookies may affect your browsing experience.
Necessary
Always Enabled
Necessary cookies are absolutely essential for the website to function properly. These cookies ensure basic functionalities and security features of the website, anonymously.
CookieDurationDescription
cookielawinfo-checkbox-analytics11 monthsThis cookie is set by GDPR Cookie Consent plugin. The cookie is used to store the user consent for the cookies in the category "Analytics".
cookielawinfo-checkbox-functional11 monthsThe cookie is set by GDPR cookie consent to record the user consent for the cookies in the category "Functional".
cookielawinfo-checkbox-necessary11 monthsThis cookie is set by GDPR Cookie Consent plugin. The cookies is used to store the user consent for the cookies in the category "Necessary".
cookielawinfo-checkbox-others11 monthsThis cookie is set by GDPR Cookie Consent plugin. The cookie is used to store the user consent for the cookies in the category "Other.
cookielawinfo-checkbox-performance11 monthsThis cookie is set by GDPR Cookie Consent plugin. The cookie is used to store the user consent for the cookies in the category "Performance".
viewed_cookie_policy11 monthsThe cookie is set by the GDPR Cookie Consent plugin and is used to store whether or not user has consented to the use of cookies. It does not store any personal data.
Functional
Functional cookies help to perform certain functionalities like sharing the content of the website on social media platforms, collect feedbacks, and other third-party features.
Performance
Performance cookies are used to understand and analyze the key performance indexes of the website which helps in delivering a better user experience for the visitors.
Analytics
Analytical cookies are used to understand how visitors interact with the website. These cookies help provide information on metrics the number of visitors, bounce rate, traffic source, etc.
Advertisement
Advertisement cookies are used to provide visitors with relevant ads and marketing campaigns. These cookies track visitors across websites and collect information to provide customized ads.
Others
Other uncategorized cookies are those that are being analyzed and have not been classified into a category as yet.
SAVE & ACCEPT