จุดสมดุลระหว่างการทำงานกับการใช้ชีวิต หรือ Work-Life Balance ได้กลายเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญสำหรับคนรุ่นใหม่ที่ต้องการจัดสรรเวลาการทำงานแบบมีคุณภาพ ในขณะเดียวกันก็ต้องการเวลาพักผ่อนที่เพียงพอเช่นกัน
แต่การทำงานที่มีความสมดุลเช่นนี้จะสามารถทำได้จริงหรือไม่ และแนวคิด Work-Life Balance จะส่งผลกระทบอย่างไรกับรูปแบบการทำงานในอนาคต บทความนี้มีคำตอบให้กับคุณ
Work-Life Balance เมื่อ “งาน” ต้องผสานกับ “ชีวิต”
จุดเริ่มต้นของการตามหา Work-Life Balance ของคนจำนวนมากเกิดจากการค้นพบว่างานของตัวเองนั้น “เยอะเกินไป” จนไม่สามารถจัดสรรเวลาไปทำสิ่งอื่นได้ ซึ่งส่งกระทบโดยตรงต่อความเครียด ความสามารถในการทำงาน จนนำไปสู่การตัดสินใจลาออกของพนักงาน
ผลสำรวจช่วงปี 2015 พบว่าคนไทยทำงานเฉลี่ย 50.9 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ย 48 ชั่วโมงของคนทั่วโลก และตัวเลขดังกล่าวก็นับว่าสูงเป็นลำดับต้น ๆ ของเอเชียอีกด้วย
แต่วัฒนธรรมการทำงานหนักนี้กำลังถูกท้าทาย เมื่อบริษัท Microsoft ประเทศญี่ปุ่นได้ทดลองให้พนักงานทำงานเพียง 4 วันต่อสัปดาห์ และไม่สนับสนุนให้ทำงานล่วงเวลา ผลปรากฎว่าพนักงานมีประสิทธิภาพการทำงานเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
นั่นเป็นข้อพิสูจน์ได้ว่าการทำงานหนักอาจไม่ตอบโจทย์อีกต่อไป และชีวิตแบบ Work-Life Balance สามารถทำได้หากมีการจัดสรรเวลาที่ดีพอ
Table of Contents
หนทางสู่การสร้าง Work-Life Balance
แม้ Work-Life Balance จะสามารถทำได้จริง แต่สิ่งที่ทุกคนควรคำนึงเป็นอย่างยิ่งคือความสมดุลระหว่างการทำงานกับการใช้ชีวิตของแต่ละคนนั้นไม่เท่ากัน ดังนั้นผู้ที่จะกำหนดความพอดีระหว่างสองสิ่งนี้ได้ก็คือตัวของคุณเอง ซึ่งคุณสามารถเริ่มต้นหาจุดสมดุลของชีวิตได้ด้วยวิธีการดังนี้
1. ตั้งข้อสังเกตในการใช้ชีวิต
ก่อนเริ่มต้นสร้าง Work-Life Balance ให้ตนเอง อาจลองตั้งข้อสังเกตตามด้วยคำถามว่า คุณมีความสุขในการทำงานปัจจุบันไหม มีเวลาพักผ่อนเพียงพอหรือไม่ คุณภาพชีวิตและการทำงานของคุณเป็นอย่างไรบ้าง หากคุณพบว่าตนเองพอใจกับการใช้ชีวิตในปัจจุบัน และการทำงานไม่ได้ส่งผลเสียต่อการใช้ชีวิตจนเกินไป การตามหา Work-Life Balance อาจไม่ได้จำเป็นมากนัก
แต่ถ้าคุณพบว่าตนเองมีสภาพแย่ลงจากการทำงาน ไม่ว่าจะร่างกาย จิตใจ หรือมีอาการ Burnout เป็นระยะ ๆ การปรับเปลี่ยนตัวเองเข้าสู่จุดสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงานจะเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่ง
2. หาจุดสมดุลของชีวิตและการทำงาน
ไม่มีสิ่งใดในโลกที่ Perfect การ Work-Life Balance ก็เช่นกัน ไม่มีงานไหนที่สบายไปตลอด และไม่ควรมีงานไหนที่หนักจนทำลายชีวิต หลังจากการตั้งข้อสังเกตคุณควรมองหาจุดสมดุลระหว่างการทำงานในปัจจุบันของตนเอง เช่น การทำงาน 9 ชั่วโมง ต่อวันอาจมากเกินไป ลองปรับจุดสมดุลอยู่ที่ 8 ชั่วโมงอาจเหมาะสมกว่าหรือไม่
3. วางแผนสร้าง Work-Life Balance
เมื่อคุณพบจุดสมดุลของการใช้ชีวิตและการทำงาน สิ่งต่อมาที่ต้องทำคือการวางแผนเพื่อสร้าง Work-Life Balance เป็นของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นการมองหางานที่ชอบ และมีชั่วโมงการทำงานตอบโจทย์ของคุณ วางแผนในการหยุดยาวเพื่อชาร์จพลัง รวมถึงสิ่งสำคัญที่สุดคือ “การขีดเส้นแบ่งระหว่างเวลาการทำงานกับการใช้ชีวิต”
4. พยายามปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต
การเปลี่ยนแปลงนั้นยากเสมอ โดยเฉพาะกับคนที่มีข้อจำกัดในด้านต่างๆ แต่สุดท้ายแล้วคุณก็จำเป็นต้องพัฒนาคุณภาพชีวิต ด้วยการวางแผนจัดสรร Work-Life Balance ของตัวเอง ซึ่งอาจเริ่มต้นได้ง่ายๆ ด้วยการใช้เวลาพักผ่อนในวันหยุดให้เต็มที่ ไม่ตอบอีเมลนอกเวลางาน หาเวลาออกกำลังกาย และให้ความสำคัญกับสุขภาพตัวเองเป็นหลัก รวมถึงหางานใหม่ที่ตอบโจทย์สมดุลชีวิตของตนเอง
5. ตรวจสอบตัวเองอีกรอบ
“มีเพียงคุณเท่านั้นที่กำหนด Work-Life Balance ของตนเองได้” หลังจากการเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆ ที่ผ่านมาคุณอาจลองตั้งคำถามกับตัวเองอีกรอบว่าการเปลี่ยนแปลงที่ผ่านมาของเราตอบโจทย์หรือยัง มีอะไรที่สามารถพัฒนา ปรับเปลี่ยนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้การใช้ชีวิตและการทำงานไปในเวลาเดียวกันได้บ้าง ถ้าคุณยังไม่พอใจ ก็ไม่ใช่เรื่องผิดอะไรที่จะลองตามหาหนทางใหม่ ๆ เพื่อทำให้การ Work-Life Balance เหมาะสมกับตัวคุณมากที่สุด
สรุป
Work-Life Balance เป็นสิ่งที่สามารถทำได้จริง และคุณเองก็สามารถทำได้ด้วย 5 ขั้นตอนที่ได้ระบุไว้ ตั้งแต่การสังเกตตัวเอง หาจุดสมดุล วางแผน ปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต และกลับมาย้อนมองตนเองอีกรอบ ซึ่งแน่นอนว่าความสมดุลของแต่ละคนนั้นแตกต่างกัน คุณควรเลือกวิถีชีวิตที่เหมาะสมกับตนเองมากที่สุด ไม่จำเป็นต้องเลียนแบบวิถีชีวิตของคนอื่น ๆ แต่อย่างใด
หนึ่งในตัวช่วยสำคัญที่สามารถทำให้การทำงานของคุณมี Work-Life Balance ดีขึ้นได้ คือ การสื่อสารที่มีคุณภาพ ตอบโจทย์การทำงานของคนรุ่นใหม่ ซึ่ง True VROOM เป็นอีกหนึ่งแพลตฟอร์มที่สามารถพัฒนาประสิทธิภาพการทำงานของคุณได้มากขึ้น สามารถดูรายละเอียดต่าง ๆ และทดลองใช้งานได้ฟรีที่ True VROOM